tag:blogger.com,1999:blog-31496239571697516542024-03-05T01:27:25.226-08:00wimonrat75@hotmail.comวิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.comBlogger12125tag:blogger.com,1999:blog-3149623957169751654.post-84695007104311731402008-09-07T20:41:00.001-07:002008-09-07T20:49:36.391-07:00ข้อสอบ31. แผ่น Disk ต่อไปนี้แบบใด เก็บข้อมูลได้มากที่สุด<br /><br />ก. 3.5 นิ้ว DSDD ข. 3.5 นิ้ว DSHD<br /><br />ค. 5.25 นิ้ว DSDD ง. 5.25 นิ้ว DSHD<br />เฉลย ข<br />32. แผ่น Disk ต่อไปนี้แบบใด เก็บข้อมูลได้น้อยที่สุด<br /><br />ก. 3.5 นิ้ว DSDD ข. 3.5 นิ้ว DSHD<br /><br />ค. 5.25 นิ้ว DSDD ง. 5.25 นิ้ว DSHD<br />เฉลย ค <br />33. OS ย่อมาจากอะไร ในเรื่องระบบปฎิบัติการ<br /><br />ก. Operaing system ข. Open System<br /><br />ค. Off-line System ง. Opportunity System<br />เฉลย ก<br />34. RAM คือหน่วยความจำที่เข้าถึงได้โดยสุ่ม ถามว่า RAM ย่อมาจากอะไร<br /><br />ก. Read Access Memory ข. Random Access Memory<br /><br />ค. Real Action Method ง. Random Accumulate Measurement<br />เฉลย ข<br />35. ข้อใดเป็นข้อเสียของ DRAM<br /><br />ก. เกิดการรั่วหรือคลายประจุออกเองเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ข. มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะใส่เข้าไปในคอมพิวเตอร์ได้<br /><br />ค. ยังไม่มีผู้ผลิตนำมาใช้ในธุรกิจ ง. ไม่เคยมีคำนี้ในเรื่องที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาก่อน<br />เฉลย ก<br />36. ข้อใดไม่ใช้หน่วยความจำในเครื่อง Microcomputer<br /><br />ก. หน่วยความจำปกติ (Conventional memory) ข. หน่วยความจำอัปเปอร์ (Upper Memory)<br /><br />ค. หน่วยความจำโลเวอร์ (Lower memory) ง. หน่วยความจำสูง (High Memory)<br />เฉลย ค<br />37. ข้อใดไม่ใช้หน่วยความจำในเครื่อง Microcomputer<br /><br />ก. หน่วยความจำเอ็กซ์เทนด์ (Extended memory)<br /><br />ข. หน่วยความจำปกติ (Conventional memory)<br /><br />ค. หน่วยความจำเหนือปกติ (High environment memory)<br /><br />ง. หน่วยความจำเอ็กซ์แปนด์ (Expanded memory)<br />เฉลย ค<br />38. หน่วยความจำ Cache memory เป็นหน่วยความจำแบบใด<br /><br />ก. Static RAM ข. Dynamic RAM<br /><br />ค. Win RAM ง. Linux RAM<br />เฉลย ก<br />39. หน่วยความจำปกติ (Conventional memory) ใน Microcomputer มีใช้เนื้อที่ขนาดเท่าใด<br /><br />ก. 64 Kb ข. 384 Kb<br /><br />ค. 640 Kb ง. 1024 Kb<br />เฉลย ค<br />40. หน่วยความจำอัปเปอร์ (Upper memory area) ใน Microcomputer มีใช้เนื้อที่ขนาดเท่าใด<br /><br />ก. 64 Kb ข. 384 Kb<br /><br />ค. 640 Kb ง. 1024 Kb<br />เฉลย ขวิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3149623957169751654.post-55162447569566835752008-09-07T20:41:00.000-07:002008-09-07T20:43:14.376-07:00สูตรการใช้โปรแกรม Excelสูตรการใช้โปรแกรม Excel <br />1.การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ตอบแบบสอบถาม<br />ในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ มักจะมีการถามคำถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ตอบ เช่น เพศ อายุ รายได้ เป็นต้น การวิเคราะห์หาจำนวนผู้ตอบที่เป็นเพศชาย หรือเพศหญิง สามารถทำได้ง่ายโดยใช้ ฟังก์ชั่น Count และวิธีการจากบทที่แล้ว แต่ถ้าให้ผู้ตอบเติมตัวเลข ในการวิเคราะห์จะมีความซับซ้อนขึ้นบ้าง ดังนี้<br />สมมติว่า ข้อมูลในการตอบแบบสอบถาม มีดังนี้<br />จากข้อมูลข้างต้น เราต้องการหาคำตอบ ดังต่อไปนี้<br /><br />แสดงจำนวนผู้ตอบ จำแนกตามช่วงอายุ<br />จำนวน ผู้ที่อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป และ มีเงินเดือน 20,000 บาทขึ้นไป<br />จากข้อมูลข้างต้น เราจะหาจำนวนของผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปี และมีเงินเดือนตั้งแต่ 20,000 บาท ขึ้นไป จะเห็นว่า มีเงื่อนไข 2 เงื่อนไขคือ อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป และอีกเงื่อนไขคือ รายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป เราจะใช้ฟังก์ชั่น DCOUNT เพื่อนับจำนวนที่มีหลายเงื่อนไข รูปแบบของ DCOUNT มีดังนี้<br /><br />DCOUNT(database,field,criteria)<br />database<br />คือตารางข้อมูลที่จะใช้ในฟังก์ชั่นนี้ จะระบุเป็นช่วง เช่น A5:D14<br />field<br />คอร์ลัมข้อมูลที่จะนำมาใช้ในสูตรการคำนวน เริ่มจากคอร์ลัมน์ซ้ายสุด เป็น คอร์ลัมน์ที่ 1 ต้องการให้นับคอร์ลัมน์ใด ก็ระบุเลขที่ของคอร์ลัมน์นั้น<br />criteria<br />เงื่อนไขในการนับ<br /><br />วิธีการใช้สูตรนับจำนวน DCOUNT มีดังนี้<br />เนื่องจากเงื่อนไขของเรามีสองเงื่อนไข คือ อายุ และเงินเดือน จึงต้องกำหนดเงื่อนไขไว้ใน Cell เสียก่อน เพื่อจะได้เรียกใช้ได้ภายหลัง ในช่อง B1:C2 ให้พิมพ์เงื่อนไข ดังนี้<br />พิมพ์ข้อมูลดังภาพข้างล่างนี้<br />ข้อมูล A4:D14 เป็นตารางข้อมูล ซึ่งจะต้องมีชื่อคอร์ลัมปรากฎอยู่ ในตัวอย่างนี้ คือ A4 ถึง D4<br />ในช่อง B1:C2 เป็นเงื่อนไขในการนับจำนวน จะเห็นว่า มีชื่อคอร์ลัมน์ และเงื่อนไขในคอร์ลัมน์ จากตัวอย่างนี้ คือ ต้องการให้นับเฉพาะ ในช่องอายุ ให้มีอายุเท่ากับ 25 หรือ มากกว่า 25 หรือ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตั้งแต่ 25 ปี ขึ้นไป ส่วนเงื่อนไขที่2 เป็นเงื่อนไขเกี่ยวกับเงินเดือน ว่า ต้องการเฉพาะ เงินเดือนตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไปเช่นเดียวกัน จะต้องมีชื่อคอร์ลัมน์ และเงื่อนไขที่ต้องการ (ในที่นี้ ชื่อคอร์ลัมน์ คือ เงินเดือน และเงื่อนไข คือ >=20000)<br />เราจะใส่ผลที่ได้จากการนับ ตามเงื่อนไขที่กำหนด ใส่ลงในช่อง C18<br />คลิก C18 เพื่อบอก Excel ว่า ต้องการนำผลที่ได้มาใส่ไว้ที่นี่<br />ไปที่เมนู Insert > Function... หรือ คลิกที่รูป บน formula bar จะเกิดหน้าจอให้เลือกฟังก์ชั่น<br />ที่ช่อง Or select a category ให้เลือก All เพื่อดูฟังก์ชั่นทั้งหมด จา่กนั้นจึงเลือกหา Dcount ในส่วน Select a function ดังภาพ<br />คลิก OK<br />จะเปิดหน้าต่าง ให้เติมค่าตัวเลือกต่าง ๆ ค่าที่เติมลงในช่องต่าง ๆ เหล่านี้ เราเรียกว่า parameters ให้เติมค่าต่าง ๆ ดังภาพ<br />Database คือตารางข้อมูลที่จะนำมาวิเคราะห์ จะบอกเป็นช่วง ในตัวอย่างนี้ ตารางข้อมูลอยู่ที่ A4:D14 การเลือกต้องให้ครอบคลุมหัวตาราง ซึ่งอยู่ที่ A4:D4 ด้วย<br />Field คือคอร์ลัมน์ที่จะนำมานับ ให้ใส่เป็นตัวเลขคอร์ลัมน์ที่เท่าไร ในตัวอย่างเราต้องการนับ คอร์ลัมน์ อายุ ซึ่งเป็นคอร์ลัมน์ที่ 3 (คอร์ลัมน์ 1 คือ เลขที่ คอร์ลัมน์ 2 คือ ชื่อ คอร์ลัมน์ 3 คือ อายุ คอร์ลัมน์ 4 คือ เงินเดือน)<br />Criteria คือเกณฑ์ในการนับ ในตัวอย่างนี้ เราได้บอกไว้แล้วที่ C1:B2 สำหรับ Database และ Criteria ถ้าไม่ต้องการพิมพ์เข้าไปโดยตรง อาจจะคลิกที่รูป และใช้เมาส์เลือกช่วงข้อมูลที่ต้องการ ก็ได้<br />เมื่อกดปุ่ม OK จะได้เท่ากับ 4 นั่นแสดงว่า มีคน จำนวน 4 คน ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป และมีเงินเดือนตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป จำนวน 4 คน<br />2.การหาช่วงอายุ<br />จากข้อมูลเดิม จะเห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถามกรอกอายุจริืง ในการนำผลไปวิเคราะห์มักจะวิเคราะห์เป็นช่วงอายุ เช่น อายุต่ำกว่า 25 ปี กี่คน อายุ ระหว่าง 25-29 ปี กี่คน เป็นต้น ตัวอย่างต่อไปนี้ จะเป็นการนำข้อมูลเดิมมาวิเคราะห์อายุ เป็นช่วง ๆ ดังนี้<br />อายุ น้อยกว่า 25 ปี<br />อายุ 25-29 ปี<br />อายุ 30-39 ปี<br />อายุ 40 ปี ขึ้นไป (ไฟล์ exercise_dcount_age.xls)<br />หลักการ<br />ใช้ฟังก์ชั่น Dcount เหมือนข้างต้น แต่กำหนดเงื่อนไขเสียใหม่ โดยกำหนดเงื่อนไขเป็นช่วง ๆ ตามต้องการ<br />วิธีการ<br />เปิด Sheet ใหม่<br />พิมพ์ข้อมูล A4:D14 หรือจะ Copy มาก็ได้<br />ในช่วง A16:D24 ให้พิมพ์เกณฑ์การนับ และส่วนที่จะรายงานผล ดังนี้<br />คลิกที่ C21 และพิมพ์ที่ Formular ดังนี้ =DCOUNT(A4:D14,3,A16:A17)<br />คลิกที่ C22 และพิมพ์ที่ Formular ดังนี้ =DCOUNT(A4:D14,3,A16:B16:C17)<br />คลิกที่ C23 และพิมพ์ที่ Formular ดังนี้ =DCOUNT(A4:D14,3,A16:A18:ฺB19)<br />คลิกที่ C24 และพิมพ์ที่ Formular ดังนี้ =DCOUNT(A4:D14,3,C18:C19)<br />จะเห็นว่า เราใช้สูตรเดียวกัน ต่างกันที่เงื่อนไขเท่านั้น ผลลัพธ์ที่ได้ คืิอ<br />3.การตัดเกรดนักเรียน(grading.xls)<br />คุณครูสามารถใช้โปรแกรม Excel ในการกรอกคะแนน และรวมคะแนน โดยไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลข นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ Excel ทำอะไรได้อีกหลายอย่าง ตัวอย่างต่อไปนี้จะเป็นการใช้ Excel สำหรับตัดเกรดนักเรียน แบบอิงเกณฑ์ โดยการนำคะแนนไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ ว่า คะแนนตกอยู่ในเกณฑ์ใด ควรจะได้เกรดอะไร<br />หลักการ<br />ใช้ฟังก์ชั่น Vlookup เปรียบเทียบข้อมูล ฟังก์ชั่น Vlookup จะนำข้อมูลจาก cell ใด cell หนึ่ง ไปเปรียบเทียบกับข้อมูลในตาราง และถ้าพบ ก็จะคืนค่าในคอร์ลัมน์ ทางด้านขวามือ ของค่าที่ถูกเปรียบเทียบในตาราง และสามารถระบุว่า จะให้คืนค่าจากคอร์ลัมน์ใด การเปรียบเทียบทำได้สองอย่างคือ เปรียบเทียบแบบเหมือนกันทุกประการ และเปรียบเทียบแบบใกล้เคียง<br />ฟังก์ชั่น Vlookup มีรูปแบบการใช้ ดังนี้<br />Vlookup (lookup_value,table_array,col_index_num,range_lookup)<br />lookup_value<br />คือค่าที่จะนำไปเปรียบเทียบ ในที่นี้คือคะแนนของนักเรียนแต่ละคน การอ้างถึงใช้ตำแหน่งของ Cell เช่้น A3<br />table_array<br />คือตารางข้อมูลที่จะใช้เป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบ ในที่นี้คือเกณฑ์ในการตัดเกรด เช่น คะแนนต่ำกว่า 50 ได้ 0 คะแนน 50-69 ได้ 1 เป็นต้น แต่ต้องเขียนอยู่ในรูปตาราง ในกรณีการตัดเกรด จะเป็นการเปรียบเทียบคะแนนแบบใกล้เคียง จะต้องมีการเรียงข้อมูล จากน้อยไปหามาก แต่ถ้าเป็นการเปรียบเทียบแบบเหมือนกันทุกประการ ก็ไม่จำเป็นต้องเรียงข้อมูลในตารางที่จะใช้เป็นเกณฑ์<br />col_index_num<br />เป็นตัวเลขตำแหน่งแถวที่จะคืนค่า ถ้าหากพบว่าเป็นไปตามเกณฑ์การเปรียบเทียบ คอร์ลัมน์แรกของตารางที่ใช้เป็นเกณฑ์การเปรียบเทียบคือ คอร์สัมนืที่ 1 ดังนั้น ค่าที่คืน จึงเป็นคอร์ลัมน์ที่ 2 หรือ 3 หรือ 4 ในกรณีที่ตารางมีหลายคอร์ลัมน์<br />range_lookup<br />มี 2 ค่า คือจริง หรือ TRUE และ เท็จ หรือ FALSE<br />ถ้าเป็นจริง หรือ TRUE คือต้องการให้เปรียบเทียบแบบใกล้เคียง นั่นคือ Excel จะนำค่ามาเปรียบเทียบกับค่าในตารางที่ใช้เป็นเกณฑ์ ถ้าไม่พบค่าที่เท่ากัน ก็จะถือเอาค่าตัวต่อไปที่ใกล้เคียงที่สุด ที่มีค่าน้อยกว่าค่าที่นำมาเปรียบเทียบ<br />ถ้าเป็นเท็จ หรือ FALSE คือต้องเป็นการเปรียบเทียบที่เหมือนกัน หรือ เท่ากันเท่านั้น<br />ถ้าไม่เติม จะถือว่ามีค่าเป็นจริง<br />วิธีการ<br />เปิดโปรแกรม Excel ใหม่ และพิมพ์ข้อมูลคะแนนนักเรียน ดังต่อไปนี้<br />ที่ E1:F6 ให้พิมพ์เกณฑ์ในการเปรียบเทียบ ดังนี้<br />เนื่องจากเป็นการเปรียบเทียบแบบใกล้เคียง การเปรียบเทียบจะใช้ ค่าที่ใกล้เคียงที่สุด ซึ่งน้อยกว่าค่าที่นำไปเปรียบเทียบ<br />สมมติว่า สุดา ได้คะแนน 58 เมื่อนำคะแนน 58 ไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ จะเห็นได้ว่า ค่าที่ใกล้เคียงกับ 58 ซึ่งจะต้องเป็นค่าที่น้อยกว่า 58 ก็คือ 50 เพราะถึงแม้ว่าจะใกล้กับ 60 ก็ตาม แต่ 60 มีค่ามากกว่า 58 ด้งนั้น ในการเปรียบเทียบจึงใช้ค่า 50 เพราะเป็นค่าที่ใกล้เคียงกับ 58 มากที่สุดและมีค่าน้อยกว่า 58 ด้วย เมื่อดูเกรด ก็จะพบว่า ได้เกรดเป็น 1 เพราะในการสั่ง VLOOKUP เราใช้ค่้าทางด้านขวามือ ของค่าที่ได้จากการเปรียบเทียบ<br />ดังนั้น จากเกณฑ์ในตาราง แสดงว่า มีการตัดเกรด ดังนี้<br /><br />คะแนนต่ำกว่า 50 ได้เกรด 0<br />50-59 ได้เกรด 1<br />60-79 ได้เกรด 2<br />80-89 ได้เกรด 3<br />90-100 ได้เกรด 4<br />ต่อไปจะคิดเกรดของ สมถวิล ให้คลิกที่ C2 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่จะนำเกรดมาแสดง<br />เพื่อความสะดวกในการอ้างอิงตำแหน่ง เราจะตั้งชื่อตำแหน่งของตารางว่าเป็น criteria โดยทำดังนี้<br />ลากดำ E2:F6 (ไม่รวม ชื่อคอร์ลัมน์)<br />ไปที่ Insert > Name > Define...<br />พิมพ์ชื่อ criteria<br />คลิก Add และคลิก OK ตามลำดับ<br />ต่อจากนี้ไป เราจะอ้างถึงตำแหน่งที่เป็นตารางเกณฑ์การคิดเกรดว่าเป็น criteria<br />ที่ช่อง Formula bar ให้พิมพ์ดังนี้<br />$B2<br />เป็นการอ้างถึงตำแหน่งข้อมูล ที่เป็นคะแนนของนักเรียน ในกรณีนี้ เนื่้องจากว่าคะแนนอยู่ในคอร์ลัมน์ B จึงอ้างอิงแบบ Absolute Referencing เพื่อไม่ให้ค่าเปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีการคัดลอกสูตร<br />criteria<br />คือข่วงตารางเกณฑ์ที่จะนำไปเปรียบเทียบ ตารางมี 2 คอร์ลัมน์ คอร์ลัมน์ที่ 1 เป็นค่าที่จะนำคะแนนมาเปรียบเทียบ ส่วนคอร์ลัมน์ที่ 2 เป็นค่าที่จะส่งคืนว่าได้เกรดอะไร<br />2<br />เป็นตัวเลขตำแหน่งแถวที่จะคืนค่า คือ เกรด นั่นเอง<br />TRUE<br />ต้องการให้เปรียบเทียบแบบใกล้เคียง เพราะคะแนนของนักเรียนส่วนใหญ่จะไม่เท่ากับเกณฑ์หรือ จุดตัดคะแนนที่กำหนด ดังนั้นจึงต้องให้เป็นการเปรียบเทียบแบบใกล้เคียง คือ จะนำคะแนนมาเปรียบเทียบกับข้อมูลในตารางคอร์ลัมน์แรก ถ้าไม่พบ ก็จะเอาค่าที่ใกล้เคียงที่สุด ที่มีค่าน้อยกว่าคะแนนที่นำมาเปรียบเทียบ ดังนั้น สมมุติว่า นำคะแนน 75 มาหาเกรด จะพบว่า คะแนน 75 ใกล้เคียงกับ 60 มากที่สุด เพราะ 80 เป็นคะแนนที่มากกว่า 75 ดังนั้น เกรดที่ได้ หรือค่าที่ส่งคืนไป จึงเท่ากับ 2<br />กดเครื่องหมายถูก สีเขียว จะเห็นเกรด 1 ปรากฎที่ C2 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ระบุไว้ตั้งแต่แรก<br />ทำการคัดลอกสูตร มาไว้จาก C3 จนถึง C6<br />เมื่อปล่อยเมาส์ เกรดของนักเรียนทุกคนตามเกณฑ์ที่กำหนด จะปรากฎให้เห็นทันตา นี่คือการทำงานที่รวดเร็ว และทุ่นแรง ของ Excel<br />การพิมพ์ใบเสร็จแบบเติมข้อมูลโดยอัตโนมัติ(receipt.xls)<br />การออกใบเสร็จ มักจะเป็นการพิมพ์ชื่อสินค้าและรายละเอียดของสินค้าซ้ำแล้วซ้ำอีก วิธีที่จะให้คอมพิวเตอร์ช่้วยพิมพ์ในส่วนชื่อและรายละเอียด เช่น ราคาขายต่้อหน่วย ก็สามารถทำได้ โดยเพียงแต่พิมพ์รหัสสินค้าเข้าไปเท่านั้น โปรแกรม Excel สามารถไปค้นหารายการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นำมาแสดงได้ในใบเสร็จทันที ทุ่นแรงไปมาก ไม่ต้องพิมพ์ให้เสียเวลา<br />หลักการ<br />ใช้ฟังก์ชั่น Vlookup เพื่อหาข้อมูลจากในตาราง แล้วนำมาแสดงในแบบฟอร์มใบเสร็จ ในการกรอกข้อมูลในใบเสร็จ จะพิมพ์เฉพาะ รหัสสินค้า แล้วเขียนสูตรให้ Excel นำเลขรหัสนี้ ไปค้นหาในตาราง ซึ่งมีรายละเอียด ของสินค้า แต่ละชนิด เช่น ชื่อ และราคาต่้อหน่วย การไปค้นหา จะค้นหาแบบ เหมือนกันทุกประการ เพราะต้องเป็นรหัส ที่เหมือนกับรหัส ของสินค้า ชนิดนั้น ๆ เท่านั้น เมื่อพบแล้ว ก็จะนำข้อมูลมาใส่ในใบเสร็จให้โดยอัตโนมัติ<br />วิธีการ<br />เปิด Excel และที่ A1:C1 พิมพ์ รหัส รายการ และ ราคา/หน่วย ตามลำดับ<br />ที่ F1:H5 พิมพ์รายการสินค้า ในตัวอย่างนี้ สมมติว่ามีสินค้าจำนวน 4 รายการ ดังนี้<br />เราจะตั้งชื่อตารางรายการสินค้าว่า Products<br />ลากดำ F2:H5 (ไม่รวม ชื่อคอร์ลัมน์)<br />ไปที่ Insert > Name > Define...<br />พิมพ์ชื่อ products<br />คลิก Add และคลิก OK ตามลำดับ<br />ช่อง A2 จะเป็นที่สำหรับเขียนรหัสสินค้า ช่อง B2 เราจะเขียนสูตรให้เอารหัสสินค้า ไปเปรีัยบเทียบในตาราง และนำชื่อของสินค้าที่ตรงกับรหัสนี้ มาไว้ที่นี่ ส่วนช่อง C2 ก็จะเขียนสูตรให้เอารหัสสินค้า ไปเปรียบเทียบกับตาราง และนำเอาราคา ของสินค้านี้ มาไว้ที่นี่<br />สูตร สำหรับช่อง B2 คือ =VLOOKUP($A2,products,2,TRUE)<br />ปัญหาเกิดตรงที่ว่า ถ้าในคอร์ฺลัมน์ A ไม่มีข้อมูล ผลที่ได้ในช่องรายการของแถวนั้น ๆ จะมีค่า เป็น #N/A เพราะโปรแกรมไม่รู้จะเอาอะไรไปเปรียบเทียบกับข้อมูล ดังภาพ<br />เราสามารถขจัด #N/A ออกไปได้ โดยการตรวจสอบก่้อนว่า ที่ช่อง A2 มีอะไรอยู่้หรือไม่ ถ้าไม่มี ก็ให้พิมพ์ช่องว่าง ในช่้องนี้ (ช่อง B2) แต่ถ้ามี ก็ให้นำสิ่งที่อยุ่ในช่อง A2 ไปเปรียบเทียบกับรหัสสินค้า และนำชื่อสินค้า มาไว้ที่นี่ (ช่อง B2)<br />การตรวจสอบ เราใช้ ฟังก์ชั่น IF ตรวจสอบ<br />IF(logical_test, value_if_true, value_if_false)<br />logical_test<br />คือเงื่อนไขสำหรับการตรวจสอบ ในที่นี้เราจะตรวจสอบว่า ช่อง A1 ไม่มีอะไร หรือเขียนได้ว่า A1=""<br />value_if_true<br />ส่วนนี้จะทำงาน ถ้าเงื่อนไขเป็นจริง นั่นคือถ้าช่อง A1ไม่มีอะไร ก็ให้พิมพ์ช่องว่างเฉย ๆ ซึ่งทำได้โดยให้พิมพ์ เครื่องหมายคำพูด 2 อัน คือ ""<br />value_if_false<br />ส่วนนี้จะทำงาน ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ หรือในกรณีนี้คือ ช่อง A1 มีข้อความอะไรอยู่ หรือมีการพิมพ์รหัสสินค้าในช่อง A1 แล้ว ดังนั้น ส่วนนี้จึงให้ไปใช้สูตร Vlookup ข้างต้น โดยเขียนอย่างเต็ม ๆ ว่า VLOOKUP($A2,products,2,TRUE)ขอให้สังเกตว่า ในแต่ละส่วน จะต้องคั่นด้วยเครื่องหมายคอมม่า ด้วย สูตรของช่อง B2 จึงมีดังนี้ =IF($A2="","",VLOOKUP($I8,products,2,TRUE))<br />โดยสรุป เมื่อคลิกช่อง B2 แล้ว ให้เขียนในช่อง Formula bar ดังนี้<br />คลิกเครื่องหมายถูก หน้า formular bar<br />คัดลอกสูตรในช่อง B2 ไปถึงช่อง B5<br />ทดสอบพิมพ์รหัสสินค้า A001 ในช่อง A1 และ A003 ในช่อง A2 จะได้ผลดังนี้<br />สูตรสำหรับช่อง C2 ซึ่งเป็นราคาต่อหน่วยของสินค้านั้น ๆ ก็ทำในทำนองเดียวกัน<br />สูตรของช่อง C2 คือ =IF($A2="","",VLOOKUP($A2,products,3,TRUE))<br />จะสังเกตเห็นได้ว่า คล้ายกับสูตรในช่อง B2 ต่างกันตรงที่ข้อมูลที่จะส่งคืนมาเท่านั้น ในขณะที่ B2 ต้องการชื่อสินค้า แต่ช่อง C2 ต้องการราคาสินค้า<br />คัดลอกสูตรในช่อง C2 ไปจนถึงช่อง C5<br />เป็นอันเสร็จการสร้างใบเสร็จที่พิมพ์เฉพาะรหัสสินค้า แล้ว Excel ไปค้นหาข้อมูลมาใส่ให้<br />ทดสอบโดยการพิมพ์รหัส ลงในช่องรหัส แล้วกด ENTER จะมีชื่อสินค้า และ ราคา เกิดขึ้นทันที<br />4.การพิมพ์ิ ตัวเลขเป็นตัวหนังสือ(receipt2.xls)<br />ในใบเสร็จรับเงิน หรือข้อความที่เกี่ยวกับการเงิน มักจะมีการวงเล็บจำนวนเงินเป็นภาษาไทย ตัวอย่างต่อไปนี้ จะใช้ตัวอย่้างใบเสร็จมาเพิ่มเติม ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีการพิมพ์ตัวอักษรจำนวนเงิน ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงยอดเงิน ก็ให้ตัวเลขเปลีั่ยนแปลงตามไปด้วย<br />หลักการ<br />เราใช้ฟังก์ชั่น BAHTTEXT() เพื่อเปลี่ยนตัวเลขเป็นตัวอักษร<br />BAHTTEXT(number)<br />number<br />เป็นตัวเลขจำนวนเงิน ซึ่งสามารถมีจุดทศนิยมได้ ในตัวอย่างนี้ เราจะอ้างอิงโดยการใส่ตำแหน่งของ ตัวเลขจำนวนเงิน ที่คำนวณได้ ซึ่งจะทำให้ตัวหนังสือเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามีการเปลี่ยนตัวเลขจำนวนเงิน<br />วิธีการ<br />เปิดไฟล์ Excel ใหม่<br />สร้างรายการข้อมูลสินค้า ในช่วง H1:J5 พร้อมทั้งกรอกข้อมูล ดังนี้<br />ตั้งชื่อตารางข้อมูลในช่วง H1:J5 ว่า products (ดูวิธีการตั้งชื่อจากตัวอย่างก่อนหน้านี้)<br />ที่ A1:E1 ให้พิมพ์หัวของใบเสร็จ ดังภาพ<br />ที่ ช่อง B2 ให้พิมพ์สูตรเพื่อหา ชื่อสินค้า จากตาราง ดังนี้<br />=IF($A2="","",VLOOKUP($A2,products,2,TRUE))<br />ที่ ช่อง C2 ให้พิมพ์สูตรเพื่อหา ราคาของสินค้า จากตาราง ดังนี้<br />=IF($A2="","",VLOOKUP($A2,products,3,TRUE))<br />ให้่คัดลอกสูตรในช่อง B2 ไปจนถึงช่อง B5<br />ให้่คัดลอกสูตรในช่อง C2 ไปจนถึงช่อง C5<br />เขียนสูตรให้รวมเงิน ในช่อง E2 ดังนี้<br />=IF($C2="","",C2*D2)<br />ให้คัดลอกสูตรในช่อง E2 ไปจนถึง E5<br />ช่อง E6 เป็นการรวมเงินทั้งหมด ให้เขียนสูตรรวม คือ =SUM(E2:E5)<br />ช่อง B6 พิมพ์คำว่า รวมทั้งสิ้น<br />ช่อง B7 จะเป็นการแปลงตัวเลขที่รวมได้ในช่อง E6 เป็นเงินบาท โดยเขียนสูตรที่ช่อง B7 ดังนี้<br />=BAHTTEXT(E6)<br />ถ้าต้องการเครื่องหมายวงเล็บคร่อม ให้เขียนสูตรในช่อง B7 ดังนี้<br />="(" & BAHTTEXT(E6) & ")"<br />เมื่อเสร็จแล้ว จะได้ผลลัพธ์ดังนี้วิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3149623957169751654.post-54434783797698172972008-09-06T01:42:00.000-07:002008-09-06T01:45:06.850-07:00ข้อสอบ 5 ข้อ ของGoogle1.Googleมาจากคำว่า googleในทางคณิตศาสตร์หมายถึงอะไร<br />ก.เลข ๑ ตามด้วยศูนย์อีก ๑00 ตัว<br />ข.เลข ๒ ตามด้วยศูนย์อีก ๒00ตัว<br />ค.เลข ๓ ตามด้วยศูนย์อีก ๓00ตัว<br />ง.เลข ๔ ตามด้วยศูนย์อีก ๔00ตัว<br />เฉลย ก.เลข ๑ ตามด้วยศูนย์อีก ๑00 ตัว<br />2.Back Rub หมายถึงอะไร<br />ก.ความสามารถพิเศษที่สามารถเข้าไปวิเคราะห์ black linksที่เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ต่างๆ<br />ข.ความสามารถที่ใช้ในการค้นหาข้อมูล<br />ค.ความสามารถในการแปลข่าวสาร<br />ง.ความาสามารถในการส่งและรับข้อมูล<br />เฉลย ก.ความสามารถพิเศษที่สามารถเข้าไปวิเคราะห์ black linksที่เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ต่างๆ<br />3. ใครเป็นผู้ก่อตั้ง google เป็นครั้งแรก<br />ก. wemonrat<br />ข.Larry Page และ Sergey Brin<br />ค.sompongและ sunee<br />ง.saweeka และ weepa<br />เฉลย ข.Larry Page และ Sergey Brin<br />4.Black Rub เริ่มมีชื่อเสียงในช่วง คศ ใค<br />ก.1995<br />ข.1996<br />ค.1997<br />ง.1998<br />เฉลย ข.1996<br />5.Google แยกฐานข้อมูลออกเป็นกี่หมวด<br />ก. 4 หมวด<br />ข. 5 หมวด<br />ค. 6 หมวด<br />ง. 7 หมวด<br />เฉลย ก. 4 หมวดวิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3149623957169751654.post-19552956459747863372008-09-06T01:31:00.000-07:002008-09-06T01:36:19.197-07:00พิมพ์สัมผัส ฟหกด่าสวบทที่ 1<br />การพิมพ์อักษรแป้นเหย้า ฟ ห ก ด่ า ส ว<br />กั้นหน้า 2 นิ้วและหลัง 1 นิ้ว ฝึกพิมพ์อักษรแป้นเหย้าประจำนิ้วตามแผนผัง เรียงตามลำดับจากนิ้วก้อยซ้ายไปนิ้วก้อยขวาฝึกพิมพ์จนคล่อง สามารถจำได้แม่นยำอย่างน้อย 1 หน้า จงจำไว้ว่า สายตาต้องมองอยู่ในแบบฝึกหัดเท่านั้น อย่าหันกลับไปมองที่แป้นอักษรในกระดาษที่เครื่องพิมพ์เด็ดขาด อ่านคำสั่งก่อนพิมพ์ทุกครั้งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด<br />บทที่ 2<br />การพิมพ์อักษรแป้น เ ง้<br />การก้าวนิ้ว ตามปกตินิ้วจะต้องวางอยู่ที่แป้นเหย้าประจำ แต่เมื่อต้องการพิมพ์แป้นอักษรอื่น ที่ไม่ใช่แป้นเหย้าให้ก้าวนิ้วไปที่ละนิ้ว เมื่อพิมพ์เสร็จแต่ละนิ้วให้ดึงนิ้วกลับแป้นเหย้าประจำนิ้วทันที<br />การก้าวนิ้ว วางนิ้วทั้งหมดไว้ที่แป้นเหย้า<br />แป้น เ ก้าวนิ้ว ชี้ซ้าย ไปทางขวาดีดที่แป้น เ<br />แป้น ไม้โท ก้าวนิ้วชี้ขวา ไปทางซ้ายดีดที่แป้น ไม้โท<br />แป้น ง ก้าวนิ้ว ก้อยขวา ไปทางขวาดีดที่แป้น ง<br />บทที่ 3<br />การพิมพ์อักษรแป้น พ ะ อี อะ อำ ร<br />การก้าวนิ้ว วางนิ้วทั้งหมดไว้ที่แป้นเหย้า<br />แป้น พ ก้าวนิ้ว ชี้ซ้าย ไปดีดที่แป้น พ<br />แป้น ะ ก้าวนิ้ว ชี้ซ้าย ไปดีดที่แป้น ะ<br />แป้น อี ก้าวนิ้ว ชี้ขวา ไปดีดที่แป้น อี<br />แป้น อำ ก้าวนิ้ว กลางซ้าย ขึ้นไปดีดที่แป้น อำ<br />แป้น ร ก้าวนิ้ว กลางขวา ขึ้นไปดีดที่แป้น ร<br />บทที่ 4<br />การพิมพ์อักษรแป้น อ อิ ท อือ แ ม<br />การก้าวนิ้ววางนิ้วทั้งหมดไวที่แป้นเหย้า<br />แป้น อ ก้าวนิ้ว ชื้ซ้าย ลงมาดีดที่แป้น อ<br />แป้น อิ ก้าวนิ้ว ชี้ซ้าย ลงมาดีดที่แป้น อิ<br />แป้น ท ก้าวนิ้ว ขวาลง มาดีดที่แป้น ท<br />แป้น อือ ก้าวนิ้ว ชี้ขวา ลงมาดีดที่แป้น อือ<br />แป้น แ ก้าวนิ้ว กลางซ้าย ลงมาดีดที่แป้น แ<br />แป้น ม ก้าวนิ้ว กลางขวา ลงมาดีดที่แป้น ม<br />บทที่ 5<br />การพิมพ์อักษรแป้น ไ ป น ใ ๆ ผ ย<br />การกางนิ้ว วางนิ้วทั้งหมดไว้ที่แป้นเหย้า<br />แป้น ไ ก้าวนิ้ว นางซ้าย ขึ้นไปดีดที่แป้น ไ<br />แป้น ป ก้าวนิ้ว นางซ้าย ลงมาดีดที่แป้น ป<br />แป้น น ก้าวนิ้ว นางขวา ขึ้นไปดีดที่แป้น น<br />แป้น ใ ก้าวนิ้ว นางขวา ลงมาดีดที่แป้น ใ<br />แป้น ๆ ก้าวนิ้ว ก้อยซ้าย ขึ้นไปดีดที่เเป้น ๆ<br />แป้น ผ ก้าวนิ้ว ก้อยซ้าย ลงมาดีดที่แป้น ผ<br />แป้น ย ก้าวนิ้ว ก้อยขวา ขึ้นไปดีดที่แป้น ย<br />บทที่ 6<br />การพิมพ์อักษรแป้น บ ล ฝ -<br />การก้าวนิ้ว วางนิ้วทั้งหมดไว้ที่แป้นเหย้า<br />แป้น บ ก้าวนิ้ว ก้อยขวา ขึ้นไปดีดที่แป้น บ<br />แป้น ล ก้าวนิ้ว ก้อยขวา ขึ้นไปดีดที่แป้น ล<br />แป้น ฝ ก้าวนิ้ว ก้อยขวา ลงมาดีดที่แป้น ฝ<br />แป้น - ก้าวนิ้ว ก้อยขวา ไปทางขวาดีดที่แป้น -<br />บทที่ 7<br />การพิมพ์อักษรแป้น ถ ภ ค ต อึ อุ<br />การก้าวนิ้ว วางนิ้วทั้งหมดไว้ที่แป้นเหย้า<br />แป้น ถ ก้าวนิ้ว ชี้ซ้าย ขึ้นไปดีดที่แป้น ถ<br />แป้น ภ ก้าวนิ้ว กลางซ้าย ขึ้นไปดีดที่แป้น ภ<br />แป้น ค ก้าวนิ้ว ชี้ขวา ขึ้นไปดีดที่แป้น ค<br />แป้น ต ก้าวนิ้ว กลางชวา ขึ้นไปดีดที่แป้น ต<br />แป้น อือ ก้าวนิ้ว ชี้ขวา ขึ้นไปดีดที่แป้น อือ<br />แป้น อุ ก้าวนิ้ว ชี้ซ้าย ขึ้นไปดีดที่แป้น อุ<br />บทที่ 8<br />การพิมพ์อักษรแป้น จ ข ช - /<br />การก้าวนิ้ว วางนิ้วทั้งหมดไว้ที่แป้นเหย้า<br />แป้น จ ก้าวนิ้ว นางขวา ขึ้นไปดีดที่แป้น จ<br />แป้น ข ก้าวนิ้ว ก้อยขวา ขึ้นไปดีดที่แป้น ข<br />แป้น ช ก้าวนิ้ว ก้อยขวา ขึ้นไปดีดที่แป้น ช<br />แป้น - ก้าวนิ้ว นางซ้าย ขึ้นไปดีดที่แป้น -<br />แป้น / ก้าวนิ้ว ก้อยซ้าย ขึ้นไปดีดที่แป้น /<br />บทที่ 9<br />การพิมพ์อักษรแป้น โ ฌ ๘ + ฑ ธ ๗ ณ<br />การก้าวนิ้ว วางนิ้วทั้งหมดไว้ที่แป้นเหย้า<br />แป้น โ ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ แล้วใช้นิ้ว ชี้ซ้าย ดีดแป้น โ แป้นเดียวกับแป้นเหย้า<br />แป้น ฌ ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ชี้ซ้าย ไปทางขวาแป้น ฌ แป้นเดียวกับ เ<br />แป้น ๘ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ใช้นิ้ว ชี้ขวา ไปทางซ้ายดีดแป้น ๘แป้นเดียวกับ ไม้โท<br />แป้น+ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ แล้วใช้นิ้ว ชี้ขวา ดีดแป้น +แป้นเดียวกับแป้นเหย้า<br />แป้น ฑ ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ชี้ซ้าย ขึ้นไปดีดแป้น ฑ แป้นเดียวกับ พ<br />แป้น ธ ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ชี้ซ้าย ขึ้นไปดีดแป้น ธ แป้นเดียวกับสระ<br />แป้น ๗ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ชี้ขวา ขึ้นไปดีดแป้น ๗ แป้นเดียวกับ สระอี<br />แป้น ณ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้ว กลางขวา ขึ้นไปดีดแป้น ณ แป้นเดียวกับ ร<br />บทที่ 10<br />การพิมพ์อักษรแป้น ฎ ฏ ษ ฆ " ศ ฯการก้าวนิ้ว วางนิ้วทั้งหมดไว้ที่แป้นเหย้าแป้น ฎ ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้ว กลางซ้าย ขึ้นไปดีดแป้น ฎ แป้นเดียวกันแป้น ฏ ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ แล้วใช้นิ้ว กลางซ้าย ดีดแป้น ฏ แป้นเดียวกับแป้นเหย้าแป้น ษ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ แล้วใช้นิ้ว กลางขวา ดีดแป้น ษ แป้นเดียวกับแป้นเหย้าแป้น ฆ ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ แล้วใช้นิ้ว นางซ้าย ดีดแป้น ฆ แป้นเดียวกับแป้นเหย้าแป้น " ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้ว นางซ้าย ขึ้นไปดีดแป้น " แป้นเดียวกับแป้นเหย้าแป้น ศ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ แล้วใช้นิ้ว นางขวา ดีดแป้น ศ แป้นเดียวกับแป้นเหย้าแป้น ฯ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้ว นางขวา ขึ้นไปดีดแป้น ฯ แป้นเดียวกับแป้นเหย้า บทที่ 11<br />การพิมพ์อักษรแป้น ฮ ฉ ฒ อู อั้ การรันต์ ?การก้าวนิ้ว วางนิ้วทั้งหมดไว้ที่แป้นเหย้าแป้น ฮ ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้วชี่ซ้าย ลงมาดีดแป้น ฮ แป้นเดียวกับ อแป้น ฉ ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้วกลางซ้าย ลงมาดีดแป้น ฉ แป้นเดียวกับแป้นกับ แแป้น ฒ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้วกลางขวา ลงมาดีดแป้น ฒ แป้นเดียวกับ มแป้น อู ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้วชี้ซ้าย ขึ้นไปดีด อู แป้นเดียวกับ อุ แป้น อั้ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้วชี้ขวา ขึ้นไปดีดแป้น อั้ แป้นเดียวกับแป้น อีแป้น การันต์ ใช้นิ้วก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้วชี้ขวา ลงมาดีดแป้น การันต์ แป้นเดียวกับ อืแป้น ? ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้วชี้ขวา ลงมาดีดแป้น ? แป้นเดียวกับ ท บทที่ 12<br />การพิมพ์อักษรแป้น ฤ ( ) ฬ ซ ญ ฦ ฐการก้าวนิ้ว วางนิ้วทั้งหมดไว้ที่แป้นเหย้าแป้น ฤ ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ แล้วใช้นิ้วก้อยซ้าย ดีดแป้น ฤ แป้นเดียวกับแป้นเหย้าแป้น ( ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้วซ้าย ลงมาดีดแป้น ( แป้นเดียวกับ ผแป้น ) ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้วนางซ้าย ลงมาดีดแป้น ) แป้นเดียวกับ ปแป้น ฬ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้วนางขวา ลงมาดีดแป้น ฬ แป้นเดียวกับ ใแป้น ซ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ แล้วใช้นิ้วก้อยขวา ดีดแป้น ซ แป้นเดียวกับแป้นเหย้าแป้น ญ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้วก้อยขวา ขึ้นไปดีดแป้น ญ แป้นเดียวกับ ยแป้น ฦ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้วก้อยขวา ลงมาดีดแป้น ฦ แป้นเดียวกับ ฝแป้น ฐ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้วก้อยขวา ขึ้นไปดีดแป้น ฐ แป้นเดียวกับ บ บทที่ 13<br />การพิมพ์อักษรแป้น 3 4 5 6 อํ อฺ .การก้าวนิ้ว วางนิ้วทั้งหมดไว้ที่แป้นเหย้าแป้น 3 ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้ว กลางซ้าย ขึ้นไปดีด 3 แป้นเดียวกับ ภแป้น 4 ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ชี้ซ้าย ขึ้นไปดีดแป้น 4 แป้นเดียวกับ ถแป้น 5 ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ชี้ขวา ขึ้นไปดีดแป้น 5 แป้นเดียวกับ คแป้น 6 ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้ว กลางขวา ขึ้นไปดีดแป้น 6 แป้นเดียวกับ อุแป้น อํ ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ชี้ขวาขึ้น ไปดีดแป้น อํ แป้นเดียวกับ อัแป้น . ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ก้อยขวาไปทางขวาดีดแป้น อฺ แป้นเดียวกับ งแป้น อฺ ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ชี้ซ้าย ลงมาดีดแป้น อฺ แป้นเดียวกับ อิ บทที่ 14<br />การพิมพ์อักษรแป้น 0 1 2 7 8 9 , %การวางนิ้ว วางนิ้วทั้งหมดไว้ที่แป้นเหย้าแป้น 0 ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ก้อยซ้าย ขึ้นไปดีดแป้น 0 แป้นเดียวกับ ๆแป้น 1 ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ก้อยซ้าย ขึ้นไปดีดแป้น 1 แป้นเดียวกับ /แป้น 2 ใช้นิ้ว ก้อยขวา ยกแคร่ ก้าวนิ้ว นางซ้าย ขึ้นไปดีดแป้น 2 แป้นเดียวกับ -แป้น 7 ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้ว นางขวา ขึ้นไปดีดแป้น 7 แป้นเดียวกับ จแป้น 8 ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ก้อยขวา ขึ้นไปดีดแป้น 8 แป้นเดียวกับ ขแป้น 9 ใช้นื้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ก้อยขวา ขึ้นไปดีด 9 แป้นเดียวกับ ชแป้น , ใช้นิ้ว ก้อยซ้าย ยกแคร่ ก้าวนิ้ว ก้อยขวา ขึ้นไปดีดแป้น , แป้นเดียวกับ ลแป้น % ใช้นิ้วก้อยซ้ายยกแคร่ก้าวนิ้วก้อยขวาไปทางขวาดีดแป้น % แป้นเดียวกับ -วิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3149623957169751654.post-61487032893239596692008-09-06T01:22:00.000-07:002008-09-06T01:31:27.061-07:00ข้อสอบ 15 ข้อ ของHTML1. HTML ย่อมาจากข้อใด<br />ก. Hyper Text Markup Language<br />ข. Hyper Text Makeup Language<br />ค. Hypermedia Text Markup Language<br />ง. Hidden Text Markup Language<br />เฉลย ก. Hyper Text Markup Language<br />2.เอกสาร HTML ปกติจะมีนามสกุลตามข้อใด<br />ก. HTM<br />ข. HTML<br />ค. THML<br />ง. ก และ ข ถูก<br />เฉลย ง. ก และ ข ถูก<br />3.โปรแกรมใดที่ใช้สร้างเอกสาร HTML ไม่ได้<br />ก. Edit Plus<br />ข. Notepad<br />ค. Microsoft word<br />ง. Photoshop<br />เฉลย ค. Microsoft word<br />4.เอกสารHTML ที่จะใช้ในการแสดงหน้าเว็บเพจต่างๆจะเก็บไว้ที่ใด<br />ก. Internet<br />ข. Client<br />ค. Server<br />ง. Browser<br />เฉลย ค. Server<br />5.โปรแกรมที่ใช้สำหรับดูหน้าเว็บเพจคือโปรแกรมอะไร<br />ก. Internet<br />ข. Browser<br />ค. Homepage<br />ง. Interpreter<br />เฉลย ข. Browser<br />6.การสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอลชนิดใด<br />ก. FTP<br />ข. WWW<br />ค. Telnet<br />ง. HTTP<br />เฉลย ง. HTTP<br />7.Internet Explorer , Netscape Communicator เป็นโปรแกรมชนิดใด<br />ก. Internet<br />ข. IRC<br />ค. Browser<br />ง. Text Editor<br />เฉลย ข. IRC<br />8.ภาษา HTML แบ่งโครงสร้างออกเป็นกี่ส่วน<br />ก. 1<br />ข. 2<br />ค. 3<br />ง. 4<br />เฉลย ข. 2<br />9.การเขียนข้อความเพื่อให้ปรากฏบนไตเติ้ลบาร์ของโปรแกรมเว็บเบราเซอร์จะต้องเขียนไว้ส่วนใด<br />ก. ส่วนหัว<br />ข. ส่วนเนื้อหา<br />ค. ส่วนกำหนดชนิดข้อมูล<br />ง. ส่วนหมายเหตุ<br />เฉลย ก. ส่วนหัว<br />10. เนื้อหาที่ต้องการแสดงเว็บเพจจะต้องเขียนไว้ที่ส่วนใด<br />ก. ส่วนหัว<br />ข. ส่วนเนื้อหา<br />ค. ส่วนข้อกำหนด<br />ง. ส่วนหมายเหตุ<br />เฉลย ข. ส่วนเนื้อหา<br />11. คำสั่งที่ใช้แทรกไฟล์ HTML หรือไฟล์อื่นๆลงในไฟล์ HTML อีกไฟล์คือคำสั่งอะไร<br />ก NOFRAME<br />ข FRAME<br />ค FRAMESET<br />ง IFRAME<br />เฉลย ง IFRAME<br />12.ข้อใดไม่ใช่คำสั่งหลักในการสร้างเฟรม<br />ก FRAMESET<br />ข NOFRAME<br />ค FRAME<br />ง FRAME SIZE<br />เฉลย ง FRAME SIZE<br />13 คำสั่ง FRAMESET มีอยู่กี่ประเภท<br />ก 2 ประเภท<br />ข 3 ประเภท<br />ค 4 ประเภท<br />ง 5 ประเภท<br />เฉลย ก 2 ประเภท<br />14. คำสั่งที่ใช้ในการกำหนดสีของ Background คือคำสั่งใด :<br />ก FONT COLOR<br />ข BGCOLOR<br />ค TEXTCOLOR<br />ง FONT SIZE<br />เฉลย ก FONT COLOR<br />15.ข้อใดเป็นคำสั่งขึ้นบรรทัดใหม่ :<br />ก H1<br />ข HR<br />ค CENTER<br />ง BR<br />เฉลย ข HRวิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3149623957169751654.post-51530715806754715372008-09-06T01:14:00.000-07:002008-09-06T01:21:13.574-07:00ความหมายของ HTMLความหมายของ HTML<br />HTML หรือ HyperText Markup Language เป็นภาษาคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่ง ที่มีโครงสร้างการเขียนโดยอาศัยตัวกำกับ (Tag) ควบคุมการแสดงผลข้อความ, รูปภาพ หรือวัตถุอื่นๆ ผ่านโปรแกรมเบราเซอร์ แต่ละ Tag อาจจะมีส่วนขยายที่เรียกว่า Attribute สำหรับระบุ หรือควบคุมการแสดงผล ของเว็บได้ด้วย<br />HTML เป็นภาษาที่ถูกพัฒนาโดย World Wide Web Consortium (W3C) จากแม่แบบของภาษา SGML (Standard Generalized Markup Language) โดยตัดความสามารถบางส่วนออกไป เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจและเรียนรู้ได้ง่าย และด้วยประเด็นดังกล่าว ทำให้บริการ WWW เติบโตขยายตัวอย่างกว้างขวางตามไปด้วย<br />Tag<br />Tag เป็นลักษณะเฉพาะของภาษา HTML ใช้ในการระบุรูปแบบคำสั่ง หรือการลงรหัสคำสั่ง HTML ภายในเครื่องหมาย less-than bracket ( < ) และ greater-than bracket ( > ) โดยที่ Tag HTML แบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ<br />Tag เดี่ยวเป็น Tag ที่ไม่ต้องมีการปิดรหัส เช่น เป็นต้น<br />Tag เปิด/ปิดเป็น Tag ที่ประกอบด้วย Tag เปิด และ Tag ปิด โดย Tag ปิด จะมีเครื่องหมาย slash ( / ) นำหน้าคำสั่งใน Tag นั้นๆ เช่น ?, ? เป็นต้น<br />Attributes<br />Attributes เป็นส่วนขยายความสามารถของ Tag จะต้องใส่ภายในเครื่องหมาย < > ในส่วน Tag เปิดเท่านั้น Tag คำสั่ง HTML แต่ละคำสั่ง จะมี Attribute แตกต่างกันไป และมีจำนวนไม่เท่ากัน การระบุ Attribute มากกว่า 1 Attribute ให้ใช้ช่องว่างเป็นตัวคั่น เช่น Attributes ของ Tag เกี่ยวกับการจัดพารากราฟ คือ ประกอบด้วย ALIGN="Left/Right/Center/Justify"วิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3149623957169751654.post-10733677389669058022008-09-06T01:13:00.000-07:002008-09-06T01:14:06.684-07:00ประวัติ Googleประวัติ Google<br />กูเกิลเริ่มก่อตั้งเมื่อ มกราคม พ.ศ. 2539 จากโครงงานวิจัยสำหรับดุษฎีนิพนธ์ของ แลร์รี เพจ และเซอร์เกย์ บริน นักศึกษามหาวิทยาลัยปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด[6] จากสมมุติฐานของเสิร์ชเอนจินที่สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของของเว็บไซต์ มาจัดอันดับการค้นหาที่เรียกว่าเพจแรงก์ โดยชื่อเสิร์ชเอนจินที่ตั้งมาในตอนนั้นชื่อว่า "แบ็กรับ" (BackRub) ตามความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลการลิงก์ย้อนกลับไป (back links) เพื่อวิเคราะห์ความสำคัญของแต่ละเว็บไซต์[7] โดยเว็บไซต์ที่มีเว็บไซต์อื่นลิงก์เข้ามาหามากที่สุด จะเป็นเว็บไซต์ที่มีความสำคัญสูงสุด และจะถูกจัดอันดับไว้ดีกว่า โดยทั้งคู่ได้ทดสอบเสิร์ชเอนจิน โดยใช้เซิร์ฟเวอร์ของมหาวิทยาลัยสแตนพอร์ดในชื่อโดเมนว่า google.stanford.edu[8] และต่อมาได้จดทะเบียนบริษัทกูเกิล (Google Inc.) ในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2541 โดยใช้โรงจอดรถของเพื่อนที่เมืองเมนโรพาร์กเป็นสำนักงาน[1] โดยในขณะนั้นมีพนักงาน 4 คนซึ่งรวมบรินและเพจ และชื่อโดเมน google.com ได้ถูกจดทะเบียนเมื่อวันที่ 15 กันยายน ในขณะเดียวกันทั้งคู่ได้ลาพักการเรียน และใช้เวลาในการพัฒนาหาเงินทุนพัฒนาจากครอบครัว เพื่อนฝูง และนักลงทุน เป็นจนวนเงินกว่า 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเช็กเงินจาก แอนดี เบกโทลไชม์ ผู้ก่อตั้งซันไมโครซิสเต็มส์<br />ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2542 บริษัทได้ย้ายไปยังเมืองแพโลอัลโทที่ตั้งของบริษัทคอมพิวเตอร์หลายแห่ง ซึ่งต่อมากูเกิลได้ย้ายบริษัทอีกครั้งไปยังเมืองเมาน์เทนวิว ไปยังสำนักงานใหม่ในชื่อเล่นว่ากูเกิลเพล็กซ์ ซึ่งในปี 2543 กูเกิลได้เปิดธุรกิจในส่วนโฆษณาในชื่อ แอดเวิรดส์ และ แอดเซนส์ โดยเป็นการโฆษณาผ่านคำค้นหา ซึ่งทำให้ข้อความโฆษณาตรงกับความต้องการของผู้ค้นหาเนื้อหาในเว็บไซต์ และสองส่วนนี้กลายมาเป็นธุรกิจหลักของกูเกิลร่วมกับตัวเสิร์ชเอนจิน<br />เดือนพฤษภาคม 2543 กูเกิลได้มีผู้ใช้งานค้นหาคำมากกว่า 18 ล้านคำต่อวัน ซึ่งกลายมาเป็นเซิร์ชเอนจินอันดับหนึ่งของโลก และในเดือนมีนาคม 2544 เอริก ชมิดต์ อดีตผู้บริหารบริษัทโนเวลล์ และผู้บริหารระดับสูงของซันไมโครซิสเต็มส์ได้เข้ามาร่วมงานกับกูเกิลในตำแหน่งประธานบริหารวิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3149623957169751654.post-83639550922869341132008-09-06T00:39:00.000-07:002008-09-06T01:01:24.555-07:00ข้อสอบคอมพิวเตอร์เบื้องต้น 30ข้อ1. DOS ย่อมาจากอะไร<br />ก. Disk Operating System<br />ข. Door Of System<br />ค. Disk of System<br />ง. Direct - Opening Systematic<br />เฉลย ก. Disk Operating System<br />2. Sector ในระบบ DOS มีขนาดเท่าใด<br />ก. 16 byte<br />ข. 256 byte<br />ค. 512 byte<br />ง. 1024 byte<br />เฉลย ค. 512 byte<br />3. ระบบปฏิบัติการ LINUX เป็นระบบแบบใด<br />ก. ระบบผู้ใช้คนเดียว<br />ข. ระบบ WINDOWS ที่ MICROSOFT เขียนขึ้นมาแก้ไขข้อผิดพลาดของตน<br />ค. ระบบปฏิบัติการแบบหลายผู้ใช้ เข้าใช้เครื่องพร้อมกัน ผ่านระบบเครือข่าย<br />ง. ระบบปฏิบัติการสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ เช่น ร้านค้า ร้าน VDO เป็นต้น<br />เฉลย ค. ระบบปฏิบัติการแบบหลายผู้ใช้ เข้าใช้เครื่องพร้อมกัน ผ่านระบบเครือข่าย<br />4. 2 Kb มีขนาดเท่าใด<br />ก. 2000 byte<br />ข. 200 byte<br />ค. 32 byte<br />ง. 2048 byte<br />เฉลย ง. 2048 byte <br />5. ลักษณะของ แผ่นขนาด 5.25 นิ้ว(DSDD) Double-Sided Double-Density Disk มีลักษณะอย่างไร<br />ก. แผ่นดิสก์รูปทรงห้าเหลี่ยม เก็บข้อมูลได้มาก<br />ข. ความจุ 360 Kb<br />ค. ขนาดของแผ่นกว้างยาวไม่เท่ากัน โดยกว้าง 5 นิ้ว และยาว 5.25 นิ้ว<br />ง. แผ่นแบบนี้ใช้กับเครื่องเล่น CD ได้ด้วย ซึ่งใช้เก็บภาพยนต์ได้ครั้งละหลาย ๆ เรื่องได้<br />เฉลย ข. ความจุ 360 Kb <br />6. รุ่นของ ไมโครโปรเซสเซอร์(Microprocessor) รุ่นใดใหม่ที่สุด<br />ก. 8088<br />ข. 80486<br />ค. Pentium<br />ง. SuperMario<br />เฉลย ค. Pentium <br />7. บัส (Bus) หมายถึงถนนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกลุ่มของสายไฟบน main board<br />ถามว่า บัส ในคอมพิวเตอร์ มีกี่ประเภท<br />ก. 2 ประเภทคือ บัสภายใน และบัสภายนอก<br />ข. 3 ประเภท คือ บัสระดับสูง บัสระดับกลาง บัสระดับต่ำ<br />ค. 1 ประเภทเท่านั้น คือบัสข้อมูล<br />ง. 2 ประเภท คือ บัสใช้งาน และบัสไม่ใช้งาน<br />เฉลย ก. 2 ประเภทคือ บัสภายใน และบัสภายนอก<br />8. สารบัญ(Directory) ของ DOS เก็บอะไร<br />ก. ชื่อแฟ้ม และส่วนขยาย<br />ข. คลัสเตอร์แรกของแฟ้ม<br />ค. ไม่มีข้อใดถูก<br />ง. ถูกทั้งข้อ ก. และ ข.<br />เฉลย ง. ถูกทั้งข้อ ก. และ ข.<br />9. ลักษณะของ แผ่นขนาด 5.25 นิ้ว(DSDD) Double-Sided Double-Density Disk มีลักษณะไม่ตรงตามข้อใด<br />ก. ขนาด 9 Sector ต่อ Track<br />ข. ในแผ่นมีจำนวน 40 Track<br />ค. ใช้เนื้อที่เก็บ ตาราง Directory 7 Sector<br />ง. ในแผ่นมี 740 Sector<br />เฉลย ง. ในแผ่นมี 740 Sector <br />10. ลักษณะของ แผ่นขนาด 3.5 นิ้ว(DSHD) Double-Sided High-Density Disk มีลักษณะตรงตามข้อใด<br />ก. ขนาด 9 Sector ต่อ Track<br />ข. ในแผ่นมีจำนวน 40 Track<br />ค. ใช้เนื้อที่เก็บ ตาราง Directory 14 Sector<br />ง. ในแผ่นมี 740 Sector<br />เฉลย ค. ใช้เนื้อที่เก็บ ตาราง Directory 14 Sector<br />11. แผ่น Disk ต่อไปนี้แบบใด เก็บข้อมูลได้มากที่สุด<br />ก. 3.5 นิ้ว DSDD<br />ข. 3.5 นิ้ว DSHD<br />ค. 5.25 นิ้ว DSDD<br />ง. 5.25 นิ้ว DSHD<br />เฉลย ข. 3.5 นิ้ว DSHD<br />12. แผ่น Disk ต่อไปนี้แบบใด เก็บข้อมูลได้น้อยที่สุด<br />ก. 3.5 นิ้ว DSDD<br />ข. 3.5 นิ้ว DSHD<br />ค. 5.25 นิ้ว DSDD<br />ง. 5.25 นิ้ว DSHD<br />เฉลย ค. 5.25 นิ้ว DSDD <br />13. OS ย่อมาจากอะไร ในเรื่องระบบปฎิบัติการ<br />ก. Operaing system<br />ข. Open System<br />ค. Off-line System<br />ง. Opportunity System<br />เฉลย ก. Operaing system <br />14. RAM คือหน่วยความจำที่เข้าถึงได้โดยสุ่ม ถามว่า RAM ย่อมาจากอะไร<br />ก. Read Access Memory<br />ข. Random Access Memory<br />ค. Real Action Method<br />ง. Random Accumulate Measurement<br />เฉลย ข. Random Access Memory <br />15. ข้อใดเป็นข้อเสียของ DRAM<br />ก. เกิดการรั่วหรือคลายประจุออกเองเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง<br />ข. มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะใส่เข้าไปในคอมพิวเตอร์ได้<br />ค. ยังไม่มีผู้ผลิตนำมาใช้ในธุรกิจ<br />ง. ไม่เคยมีคำนี้ในเรื่องที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาก่อน<br />เฉลย ก. เกิดการรั่วหรือคลายประจุออกเองเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง<br />16. ข้อใดไม่ใช้หน่วยความจำในเครื่อง Microcomputer<br />ก. หน่วยความจำปกติ (Conventional memory)<br />ข. หน่วยความจำอัปเปอร์ (Upper Memory)<br />ค. หน่วยความจำโลเวอร์ (Lower memory)<br />ง. หน่วยความจำสูง (High Memory)<br />เฉลย ค. หน่วยความจำโลเวอร์ (Lower memory)<br />17. ข้อใดไม่ใช้หน่วยความจำในเครื่อง Microcomputer<br />ก. หน่วยความจำเอ็กซ์เทนด์ (Extended memory)<br />ข. หน่วยความจำปกติ (Conventional memory)<br />ค. หน่วยความจำเหนือปกติ (High environment memory)<br />ง. หน่วยความจำเอ็กซ์แปนด์ (Expanded memory)<br />เฉลย ค. หน่วยความจำเหนือปกติ (High environment memory)<br />18. หน่วยความจำ Cache memory เป็นหน่วยความจำแบบใด<br />ก. Static RAM<br />ข. Dynamic RAM<br />ค. Win RAM<br />ง. Linux RAM<br />เฉลย ก. Static RAM <br />19. หน่วยความจำปกติ (Conventional memory) ใน Microcomputer มีใช้เนื้อที่ขนาดเท่าใด<br />ก. 64 Kb<br />ข. 384 Kb<br />ค. 640 Kb<br />ง. 1024 Kb<br />เฉลย ค. 640 Kb <br />20. หน่วยความจำอัปเปอร์ (Upper memory area) ใน Microcomputer มีใช้เนื้อที่ขนาดเท่าใด<br />ก. 64 Kb<br />ข. 384 Kb<br />ค. 640 Kb<br />ง. 1024 Kb<br />เฉลย ข. 384 Kb<br />21. หน่วยความจำเอ็กซ์เทนด์ (Extended Memory) ใน Microcomputer มีใช้เนื้อที่ขนาดเท่าใด<br />ก. 384 Kb<br />ข. 640 Kb<br />ค. 1024 Kb<br />ง. ส่วนที่เกิน 1 Mb ขึ้นไป<br />เฉลย ง. ส่วนที่เกิน 1 Mb ขึ้นไป<br />22. แฟ้มที่มีส่วนในการบูตเครื่องของระบบ DOS มีแฟ้มใดบ้าง<br />ก. IO.SYS MSDOS.SYS CONFIG.SYS<br />ข. IO.SYS MSDOS.SYS CONFIG.SYS COMMAND.COM AUTOEXEC.BAT<br />ค. IO.SYS COMMAND.COM WIN.COM<br />ง. AUTOEXEC.BAT CONFIG.SYS POWER.ON IBM.COM BOOT.COM INPUT.DAT OUTPUT.DAT<br />เฉลย ข. IO.SYS MSDOS.SYS CONFIG.SYS COMMAND.COM AUTOEXEC.BAT <br />23. แฟ้ม COMMAND.COM ของระบบ DOS มีหน้าที่ 3 ส่วน ข้อใดที่ไม่ใช่<br />ก. ส่วนอยู่อย่างถาวร (A resident portion)<br />ข. ส่วนควบคุม (Control section)<br />ค. ส่วนกระบวนการเริ่มต้น (An initialization section)<br />ง. ส่วนทรานเชียนต์ (A transient module)<br />เฉลย ข. ส่วนควบคุม (Control section)<br />24. โปรแกรม Windows ถูกเขียนโดยบริษัทใด<br />ก. Microsoft Corporation<br />ข. SUN Corporation<br />ค. IBM<br />ง. โครงการ School net<br />เฉลย ก. Microsoft Corporation <br />25. แฟ้ม IO.SYS เป็นแฟ้มที่สำคัญของ DOS ในการใช้บูตระบบ คำว่า IO นี้ ย่อมาจากอะไร<br />ก. In Operation<br />ข. Input Output<br />ค. Initiation Operation<br />ง. Input Opportunities<br />เฉลย ข. Input Output<br />26. คำสั่งใดไม่ใช่คำสั่งภายในของ DOS<br />ก. CLS<br />ข. MOVE<br />ค. COPY<br />ง. REN<br />เฉลย ข. MOVE <br />27. คำสั่งใดไม่ใช่คำสั่งภายในของ DOS<br />ก. DIR<br />ข. SCANDISK<br />ค. DEL<br />ง. TYPE<br />เฉลย ข. SCANDISK <br />28. คำสั่งใดไม่ใช่คำสั่งภายในของ DOS<br />ก. CD<br />ข. MD<br />ค. DD<br />ง. RD<br />เฉลย ค. DD <br />29. คำสั่งใดไม่ใช่คำสั่งภายในของ DOS<br />ก. REN<br />ข. CAN<br />ค. CLS<br />ง. DEL<br />เฉลย ข. CAN <br />30. คำสั่ง FORMAT เป็นคำสั่งภายนอกของ DOS มีหน้าที่ใด<br />ก. จัดโครงสร้างของ DISK ใหม่<br />ข. ลบแฟ้มบางแฟ้มที่ไม่ต้องการออกจาก DISK<br />ค. จัดรูปแบบของ CD-ROM ใหม่<br />ง. ทำความสะอาด DISK DRIVE<br />เฉลย ก. จัดโครงสร้างของ DISK ใหม่วิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-3149623957169751654.post-9114154146436088692008-09-06T00:16:00.000-07:002008-09-06T00:34:57.494-07:00แนะนำตัวเองชื่อ นางสาววิมลรัตน์ หวังสุข ชื่อเล่น โอ๋ค่ะ<br />เกิดวันอาทิตย์ ที่ 1 ตุลาคม 2532<br />ที่อยู่อาศัย 26 หมู่ 6 บ้านยางเตี้ย ตำบลยางสว่าง อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ 32130<br />โปรแกรมวิชา คอมพิวเตอร์ศึกษา ปี 1<br />เว็บที่ใช้ www.wimonrat75@hotmail.com รหัสผ่าน 0850072602<br />สีที่ชอบ สีดำ สีแดง สีขาว <br />อาหารที่ชอบ แกงวุ้นเส้นใส่ไก่ อาหารอีสานทุกอย่าง<br />เบอร์โท 085-0072602<br />สิ่งที่เครียด คือ การรอคอย <br />คติประจำใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด <br />อนาคต อยากเป็นอะไรละค่ะ คือ ครูวิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3149623957169751654.post-27275491765539764652008-09-01T23:42:00.000-07:002008-09-02T01:37:39.194-07:00ภาษาHTMLการเขียนภาษา HTML เบื้องต้น
<br />ด้วย การใช้โปรแกรม Notepad ในการสร้างเว็บเพจ
<br />การกำหนดโครงสร้างหลักของ HTML
<br />การจัดวางที่เห็นเป็นการจัดวางแบบมาตรฐาน ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ส่วน ซึ่งเวลาเริ่มเขียนภาษาHTML ควรเริ่มจากตรงนี้ก่อนทุกครั้ง
<br />• คำสั่งหลัก <html> .... </html> เป็นคำสั่งที่ไว้กำหนดจุดเริ่มต้นและจุดจบของเอกสาร
<br />• คำสั่งหลัก <head> .... </head> เป็นคำสั่งที่ทำหน้าที่กำหนดส่วนหัวเรื่อง โดยภายในคำสั่งนี้จะประกอบไปด้วย
<br />o คำสั่งหลัก <title> .... </title> เป็นคำสั่งที่ใช้กำหนดข้อความที่ต้องการให้ขึ้นอยู่ในส่วนของ Title Bar โดยสามารถพิมพ์ได้ยาว 64 ตัวอักษร
<br />• คำสั่งหลัก <body> .... </body> เป็นคำสั่งที่ใช้ในการกำหนดรูปแบบของเอกสารทั้งหมด ว่าจะให้มีลักษณะอย่างไร
<br />การจัดรูปแบบเอกสาร
<br />การกำหนดหัวข้อ (Heading)
<br />คำอธิบาย
<br />ใช้ในการกำหนดขนาดให้กับข้อความที่เป็นหัวข้อเรื่อง ในเอกสารที่มีหัวข้อเป็นปลีกย่อย สามารถแยกเป็นลำดับของหัวเรื่องได้อย่างชัดเจน
<br />รูปแบบ
<br /><hx> ..... </hx>
<br />ตัวอย่าง
<br /><html>
<br /><head>
<br /><title> Education Technology </title>
<br /></head>
<br /><body>
<br /><h1>Test Heading if x=1</h1>
<br /><h2>Test Heading if x=2 </h2>
<br /><h3> Test Heading if x=3 </h3>
<br /><h4> Test heading if x=4 </h4>
<br /><h5> Test heading if x=5 </h5>
<br /><h6> Test heading if x=6 </h6>
<br /></body>
<br /></html>
<br />การกำหนดจุดสิ้นสุดบรรทัด (Break Rule)
<br />คำอธิบาย
<br />ใช้ในการกำหนดจุดสิ้นสุดบรรทัด และขึ้นบรรทัดใหม่ คำสั่งนี้เหมือนการกด Enter บน keyboard นั่นเอง
<br />รูปแบบ
<br />..... <br />
<br />ตัวอย่าง
<br /><html>
<br /><head>
<br /><title> Break Rule Tag </title>
<br /></head>
<br /><body>
<br />Test Normal Message
<br />Test Normal Message
<br />Test Break Rule Tag <br />
<br />Test Break Rule Tag <br />
<br /></body>
<br /></html>
<br />การขึ้นย่อหน้าใหม่ (Paragraph)
<br />คำอธิบาย
<br />ใช้แสดงข้อความในลักษณะพารากราฟ หรือย่อหน้าในเว็บเพจ และยังสามารถใช้ในการขึ้นบรรทัดใหม่ครั้งละ 2 บรรทัด
<br />รูปแบบ
<br /><p> ... </p> <p align="left/center/right"> ... </p>
<br />ตัวอย่าง
<br /><html>
<br /><head>
<br /><title> Paragraph Tag </title>
<br /></head>
<br /><body>
<br /><p> Test Normal Paragraph Tag</p>
<br /><p align="right"> Test Right Paragraph Tag</p>
<br /><p align="center"> Test Center Paragraph Tag</p>
<br /><p align="left"> Test Left Paragraph Tag </p>
<br /></body>
<br /></html>
<br />แสดงข้อความแบบจัดกึ่งกลาง (Center)
<br />คำอธิบาย
<br />ใช้แสดงข้อความหรือรูปภาพใช้จัดกึ่งกลางเว็บเพจ
<br />รูปแบบ
<br /><center> ... </center>
<br />ตัวอย่าง
<br /><html>
<br /><head>
<br /><title> Paragraph Tag </title>
<br /></head>
<br /><body>
<br />Test Normal Message
<br /><center> Test Center Message </center>
<br /></body>
<br /></html>
<br />การกำหนดตัวอักษร
<br />การกำหนดรูปแบบตัวอักษร (Font)
<br />คำอธิบาย
<br />ใช้กำหนดรูปแบบตัวอักษร ในข้อความที่อยู่ภายใน เช่น ฟอนต์ สี และ ขนาดตัวอักษร รูปแบบ
<br /><span style="font-family:text;"> ..... </span> กำหนดแบบอักษร <span style="font-size:number;"> ..... </span> กำหนดขนาดอักษร <span style="color:color;"> ..... </span> กำหนดสีอักษร
<br />ตัวอย่าง
<br /><html>
<br /><head>
<br /><title>Font Tag</title>
<br /></head>
<br /><body>
<br /><span style="font-size:100%;"> Font Tag</span> <br />
<br /><span style="color:blue;"> Font Tag</span> <br />
<br /><span style="font-family:JasmineUPC;"> Font Tag</span> <br />
<br /><span style="font-size:180%;color:#0000ff;"> Font Tag</span> <br />
<br /><span style="font-family:AngsanaUPC;color:green;"> Font Tag</span> <br />
<br /><span style="font-family:AngsanaUPC;font-size:180%;color:FF33FF ;"> Font Tag</span> <br />
<br /></body>
<br /></html>
<br />การกำหนดข้อความแบบตัวหนา (Bold)
<br />คำอธิบาย
<br />ใช้กำหนดข้อความที่อยู่ภายใจคำสั่งให้แสดงผลด้วยตัวอักษร ตัวหนา โดยมีจุดประสงค์ก็เพื่อเน้นข้อความในประโยคนั้นๆ
<br />รูปแบบ
<br /><b>....</b>
<br />ตัวอย่าง
<br /><html>
<br /><head>
<br /><title>Bold Tag</title>
<br /></head>
<br /><body>
<br /><span style="font-size:7;">
<br />Normal Text <br />
<br /><b> Bold Text</b>
<br /></span>
<br /></body>
<br /></html>
<br />การกำหนดข้อความแบบตัวเอียง (Italic)
<br />คำอธิบาย
<br />ใช้กำหนดข้อความให้ตัวอักษรเอน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเน้นข้อความนั้นๆ
<br />รูปแบบ
<br /><i> ... </i>
<br />ตัวอย่าง
<br /><html>
<br /><head>
<br /><title>Italic Tag</title>
<br /></head>
<br /><body>
<br /><span style="font-size:7;">
<br />Normal Text <br />
<br /><i> ItalicText</i>
<br /></span>
<br /></body>
<br /></html>
<br />การกำหนดข้อความขีดเส้นใต้ (Underline)
<br />คำอธิบาย
<br />ใช้แสดงความแบบขีดเส้นใต้ เพื่อเน้นข้อความในประโยคนั้นๆ
<br />รูปแบบ
<br /><u> ... </u>
<br />ตัวอย่าง
<br /><html>
<br /><head>
<br /><title>Underline Tag</title>
<br /></head>
<br /><body>
<br /><span style="font-size:7;">
<br />Normal Text <br />
<br /><u> Underline Text</u>
<br /></span>
<br /></body>
<br /></html>
<br />การกำหนดสีพื้นหลัง
<br />การใส่สีพื้นหลัง
<br />คำอธิบาย
<br />ใช้แสดงความพื้นหลังให้เป็นสี
<br />รูปแบบ
<br /><… bgcolor>
<br />ตัวอย่าง
<br /><html>
<br /><head>
<br /><title> Image Tags</title>
<br /></head>
<br /><body bgcolor="FF33FF ">
<br /></body>
<br /></html>
<br />การโชว์รูป
<br />การแสดงรูปหน้าเว็บเพจ
<br />คำอธิบาย
<br />ใช้ในการแสดงรูปภาพกราฟฟิก โดยจะต้องเป็นไฟล์กราฟฟิกที่เว็บบราวเซอร์รู้จัก เช่น GIF,JPEG,XPM,XBM เป็นต้น
<br />รูปแบบ
<br /><img src="……." />
<br />หมายเหตุ : “…….” หมายถึง “ชื่อFolderที่ใช้เก็บรูปภาพ / ชื่อรูปภาพและนามสกุลของรูปภาพ”
<br />ตัวอย่าง
<br /><html>
<br /><head>
<br /><title> ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของฉัน</title>
<br /></head>
<br /><body bgcolor ="FF66FF">
<br /><img src= "image/Fai.gif" widht ="35%" height = "45%" />
<br /></body>
<br /></html>
<br />@@@@@@@
<br />แนะนำก่อนเขียนภาษา HTMLสิ่งที่ต้องเตรียมเมื่อต้องการเขียนโฮมเพจก่อนที่จะลงมือเขียนโปรแกรมภาษา HTML เพื่อสร้างเว็บเพจ หรือ โฮมเพจ ได้นั้น ต้อง เช็ค ความพร้อม ของอุปกรณ์ เครื่องมือ สำหรับการ สร้าง ก่อนว่า มีครบหรือไม่1. เครื่องคอมพิวเตอร์ ขนาดตั้งแต่ 486 หรือ pentium ขึ้นไป2. หน่วยความจำไม่น้อยกว่า 8 MB3. พื้นที่ฮาร์ดดิสต์ขนาดไม่น้อยกว่า 20 MB4. Mouse5. โปรแกรม Internet Explorer Version 3.0 ขึ้นไป6. โปรแกรม Netscape Navigator Version 3.0 ขึ้นไป7. โปรแกรม Notepadโปรแกรมทุกตัวต้องติดตั้งลงในฮาร์ดดิสต์เรียบร้อยและอยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานได้ตลอดเวลา ไฟล์ของโปรแกรม HTML เป็นแท็กซ์ ไฟล์ธรรมดา ที่ใช้ นามสกุลว่า .htm หรือ .html โดย เมื่อเรา เขียน คำสั่งต่าง ๆ ลงใน โปรแกรม Notepad แล้วเรา จะ Save ให้เป็น นามสกุลดังกล่าว ถ้าไม่เช่นนั้น เรา จะไม่สามารถ แสดงผล ได้ ทาง เบราเซอร์ และถ้ามีการแก้ไข หรือ เขียนโปรแกรม เราก็สามารถ ใช้โปรแกรม Notepad นี้เป็นตัวแก้ไขได้เลยโครงสร้างพื้นฐานของ HTMLโครงสร้างของ HTML จะประกอบไปด้วยส่วนของคำสั่ง 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็น ส่วนหัว (Head) และส่วนที่เป็นเนื้อหา (Body) โดยมีรูปแบบคำสั่งดังนี้<html><head><title> ชื่อโปรแกรมหรือข้อมูลที่ต้องการแสดงในส่วนหัว </title></head><body>คำสั่งหรือข้อความที่ต้องการให้แสดง</body></html>การจัดโครงสร้างแฟ้มเอกสารในความง่ายของภาษา HTML นั้นเพราะภาษานี้ไม่มีโครงสร้างใด ๆ มากำหนดนอก จากโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น หรือ แม้แต่จะไม่มีโครงสร้าง พื้นฐานอยู่ โปรแกรมที่เขียนขึ้นมานั้นก็สามารถทำงานได้เสมือนมี โครงสร้างทั่งนี้เป็นเพราะ ว่าตัวโปรแกรม เว็บเบราเซอร์ จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโปรแกรม HTML เป็นส่วนเนื้อหาทั้งสิ้นยกเว้นใน ส่วนหัว ที่ต้อง มีการกำหนด แยกออกไปให้ เห็นชัดเท่านั้น จะเขียน คำสั่ง หรือ ข้อความที่ ต้องการ ให้แสดง อย่างไรก็ได้ เป็นเสมือนพิมพ์งานเอกสารทั่ว ๆ ไปเพียง แต่ ทำตำแหน่ง ใดมีการ ทำตำแหน่ง พิเศษขึ้นมา เว็บเบราเซอร์ถึงจะแสดงผล ออกมาตามที่ ถูกกำหนด โดยใช้คำสั่งให้ตรงกับ รหัสที่กำหนดเท่านั้นการแสดงผลที่เว็บเบราเซอร์หลังจากมีการพิมพ์โปรแกรมนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้บันทึกเป็น ไฟล์ที่มีนามสกุล .htm หรือ .html จากนั้นให้เรียกโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ขึ้นมาทำการทดสอบ ข้อมูลที่เราสร้างจะถูก นำมาที่ออกมาแสดงที่จอภาพ ถ้าไม่เขียนอะไรผิด บนจอภาพก็จะแสดงผลตามนั้น ถ้าเรามีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลในโปรแกรมเดิม ให้อยู่ในรูปของ โปรแกรมใหม่ ก็จำ เป็นต้องโหลดโปรแกรมขึ้นมาใหม่ เพียงแต่เลื่อนเมาส์ไปคลิกที่ปุ่ม Refresh โปรแกรมก็จะทำการ ประมวลผลและแสดงผลออกมาใหม่ ในคำสั่ง HTML ส่วนใหญ่ใช้ตัวเปิด เป็นเครื่องหมาย น้อยกว่า < ตามด้วยคำสั่ง และปิดท้ายด้วยเครื่องหมายมากกว่า > และมีตัวปิดที่มีรูปแบบเหมือนตัวเปิดเสมอ เพียงแต่จะมีเครื่อง หมาย / อยู่หน้าคำสั่งนั้น ๆ เช่น คำสั่ง <body> จะมี </body> เป็นคำสั่งปิด เมื่อใดที่ผู้เขียนลืมหรือพิมพ์คำสั่งผิด จะส่งผลให้การทำงานของโปรแกรมผิดพลาดทันทีคำสั่งเริ่มต้นสำหรับ HTMLคำสั่งหรือ Tag ที่ใช้ในภาษา HTML ประกอบไปด้วยเครื่องหมายน้อยกว่า <ตามด้วย ชื่อคำสั่งและปิดท้ายด้วยเครื่องหมายมากกว่า>เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ตกแต่งข้อความ เพื่อ การแสดงผลข้อมูล โดยทั่วไปคำสั่งของ HTML ส่วนใหญ่จะอยู่เป็นคู่ มีเพียงบาง คำสั่งเท่านั้น ที่มีรูปแบบคำสั่งอยู่เพียงตัวเดียว ในแต่ละคำสั่ง จะมีคำสั่งเปิดและปิด คำสั่งปิดของแต่ละ คำสั่งจะมี รูปแบบเหมือนคำสั่งเปิด เพียงแต่จะเพิ่ม /(Slash) นำหน้าคำสั่ง ปิดให้ดู แตกต่าง เท่านั้น และในคำสั่งเปิดบางคำสั่ง อาจมีส่วนขยายอื่นผสมอยู่ด้วย ในการเขียน ด้วยตัวอักษร เล็กหรือใหญ่ ทั้งหมดหรือเขียนปนกันก็ได้ ไม่มีผลอะไรคำสั่งเริ่มต้นรูปแบบ <html>.....</html>คำสั่ง <html> เป็นคำสั่งเริ่มต้นในการเขียนโปรแกรม และ </html>เป็นคำสั่งจุดสิ้นสุดโปรแกรมเหมือนคำสั่ง Beign และ End ใน Pascalคำสั่งการทำหมายเหตุรูปแบบ <!-- ..... -->ตัวอย่าง <!-- END WEBSTAT CODE -->ข้อความที่อยู่ในคำสั่งจะปรากฎอยู่ในโปรแกรมแต่ไม่ถูกแสดง บนจอภาพส่วนหัวรูปแบบ <head>.....</head>ใช้กำหนดข้อความ ในส่วนที่เป็น ชื่อเรื่อง ภายในคำสั่งนี้ จะมีคำสั่งย่อย อีกหนึ่งคำสั่ง คือ <title>กำหนดข้อความในไตเติลบาร์รูปแบบ <title>.....</title>ตัวอย่าง <title> บทเรียน HTML </title>เป็นส่วนแสดงชื่อของเอกสาร จะปรากฎ ขณะที่ไฟล์ HTML ทำงานอยู่ ข้อความ ที่กำหนด ในส่วนนี้ จะไม่ถูกนำไปแสดง ผลของ เว็บเบราเซอร์แต่จะปรากฎในส่วนของไตเติบาร์ (Title bar) ที่เป็นชื่อของวินโดว์ข้างบนไม่ควรให้ยา เกินไป เพียงให้รู้ว่าเว็บเพจที่กำลัง ใช้งานอยู่เกี่ยวข้องกับอะไรส่วนของเนื้อหารูปแบบ <body>.....</body>ส่วนเนื้อหาของโปรแกรมจะเริ่มต้นด้วย คำสั่ง <body> และจบลงด้วย </body> ภายในคำสั่งนี้ คือ ส่วนที่จะ แสดงทางจอภาพ การเติมสีสันให้เอกสารผลการแสดง ที่เกิดขึ้น บน เว็บเพจ เราจะพบว่าเอกสาร ทั่วไปแล้วตัวอักษร ที่ปรากฎ บนจอภาพ จะเป็น ตัวอักษรสีดำบนพื้น สีเทา ถ้าเรา ต้องการ ที่จะ เปลี่ยนสี ของตัวอักษร หรือ สีของ จอภาพ เราสามารถ ทำ ได้โดย การกำหนด แอตทริบิวต์ (Attribute) ของตัวอักษร สิ่งที่ต้องการนี้ จะเป็น กลุ่มตัว เลขฐาน 16 จำนวน 3 ชุด โดยชุดที่ หนึ่ง ทำหน้าที่ แทนค่าสีแดง ชุดที่สอง ทำหน้าที่ แทนสีเขียว และชุดที่สาม ทำหน้าที่แทนสี น้ำเงิน ข้อมูล ในตาราง ต่อไปนี้จะแสดง สีพื้นฐาน และรหัสสี ที่สามารถแสดงได้ทุกเว็บเพจสีรหัสสีขาว#FFFFFFดำ#000000เทา#BBBBBBแดง#FF0000เขียว#00FF00น้ำเงิน#0000FFในบางครั้งถ้าเราไม่ต้องการใส่รหัสสีเป็นเลขฐานเราก็สามารถใส่ชื่อ สีลงไปได้เลย ตัวอย่างต่อไปนี้ แสดงชื่อ สีที่ Internet Explorer สนับสนุนแต่ Netscape ไม่สนับสนุนAQUABULEGRAYLIMENAVYPURPLESILVERWHITE (สีขาว)BLACKFUCHSIAGREENMAROONOLTVEREDTEALYELLOWสีของพื้นฉากหลังรูปแบบ BGCOLOR=#สีที่ต้องการตัวอย่าง <body bg style="color:#FF0000;">เราใช้ BGCOLOR=#สีที่ต้องการ ให้เป็นส่วนหนึ่งของ <body> ซึ่งจะทำให้เกิดสีตามที่เราเลือก ลักษณะเป็นฉากสีอยู่ข้างหลังสีของตัวอักษรบนเว็บรูปแบบ Text=#รหัสสีตัวอย่าง <body text="#00FF00">เรากำหนดเช่นเดียวกับการทำสีของพื้นฉากหลังโดยให้เป็นส่วน หนึ่งของ <body> แต่ในการใส่รหัสสีนั้นเร าต้องดู ให้เหมาะสมกับฉากหลังด้วยเช่น <body text="#00FF00"> ในการ ทำสีของ ตัวอักษรนี้สีจะปรากฎบนเว็บเปราเซอร์ เป็นสีเดียวตลอดสีของตัวอักษรเฉพาะที่รูปแบบ <span style="color:#สีที่ต้องการ;">...</span>ตัวอย่าง <span style="color:#FF0000;">สีแดง</span>คำสั่งนี้เราใช้ในการเปลี่ยนสีของตัวอักษรในส่วนที่เราต้องการให้เกิดสีสันแตกต่างไปจากสีตัวอักษร อื่น ๆ เช่น <span style="color:#FF0000;">สีแดง</span>ตัวหนังสือคำว่าสีแดงก็จะเป็นสีแดงตามที่เราต้องการทันทีสีของตัวอักษรที่เป็นจุดคลิกเมาส์รูปแบบ LINK="#รหัสสี" ALINK="#รหัสสี" VLINK"#รหัสสี"ตัวอย่าง <body bgcolor="000000" text="#F0F0F0" link="#FFFF00" align="#0077FF" vlink="#22AA22">กำหนดอยู่ในส่วนของ BODY โดยกำหนดให้LINK = สีของตัวอักษรก่อนมีการคลิกALIGN = สีของตัวอักษรขณะถูกคลิกVLINK = สีของอักษรหลังจากคลิกแล้วรูปแบบ ของตัวอักษรในบทนี้ เราจะมาทราบถึงวิธีการทำแบบตัวอักษรหลาย ๆ แบบ เช่น ตัวหนา ตัวเอน ตัวใหญ่ ตัวเล็ก ซึ่งลักษระต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้เว็บเพจ ของเราสวยงามยิ่งขึ้นหัวเรื่องรูปแบบ <hx>ข้อความ</hx>ตัวอย่าง <h1>หัวข้อใหญ่สุด</h1>ในการกำหนดขนาดให้หัวเรื่องนั้นมีการกำหนด ไว้ 6 ระดับตั้งแต่ 1 - 6 โดย x แทนตัวเลขแต่ละลำดับโดย H1 มีขนาดใหญ่ที่สุด H6 เล็กที่สุดเมื่อต้องการใช้หัวเรื่องที่มีขนาดตัวอักษรเท่าใดเขียนอยู่ระหว่าง <hx>....</hx>ขนาดตัวอักษรรูปแบบ <span style="font-size:x;">ข้อความ</span>ตัวอย่าง <span style="font-size:85%;">Bcoms.net</span>เราสามารถกำหนดขนาดของตัวอักษรให้แตกต่างกันได้ ภายในบรรทัดเดียวกัน โดยเราใช้ <span style="font-size:value;"> มากำหนด โดยที่ value เป็นตัวเลขแสดงขนาด ตัวอักษร 7 ขนาด ตัวเลขยิ่งมาก ยิ่งมีขนาด ใหญ่ ตั้งแต่ -7 ไปจนถึง +7ตัวหนา (Bold)รูปแบบ <b>ข้อความ</b>ตัวอย่าง <b>Bcoms.net</b>จะทำให้ข้อความที่อยู่ใน <b>....</b> มีความหนาเกิดขึ้นตัวเอน (Itatic)รูปแบบ <i>ข้อความ</i>ตัวอย่าง <i>Bcoms.net</i>ทำให้ข้อความที่อยู่ใน<i>....</i> เกิดเป็นตัวเอนขึ้นตัวขีดเส้นใต้ (Underline)รูปแบบ <u>ข้อความ</u>ตัวอย่าง <u>Bcoms.net</u>ทำให้ข้อความที่อยู่ใน <u>.....<u> มีเส้นขีดอยู่ใต้ตัวอักษรเกิดขึ้นตัวอักษรมีขนาดคงที่ (Typewriter text)รูปแบบ <tt>ข้อมความ</tt>ตัวอย่าง <tt>Bcoms.net</tt>ทำให้ ข้อความ ที่อยู่ใน<tt>.....</tt> มีลักษณะเป็น fixed space เกิดขึ้นแบบของตัวอักษรรูปแบบ <span >ข้อความ</span>c <span style="font-family:AngsanaUPC;">Bcoms.net</span>Font name เป็นชื่อของ Font ที่เราต้องการให้เป็น เช่น <span style="font-family:AngsanaUPC;"> Bcoms.net</span> และเราสามารถใส่ชื่อ Font หลาย ๆ ตัวได้เพื่อบางครั้ง Browser ไม่มี Font ตามต้องการโดยให้คั้นด้วยตัว (,)ขนาด Font ทั้งเอกสารรูปแบบ Basefont size="X">ตัวอย่าง <basefont style="font-size:100%;">เป็นการกำหนดขนาดของตัวอักษรในโฮมเพจให้มีขนาด เท่ากันทั้งเอกสาร เพื่อสะดวกเราจะได้ไม่ต้องกำหนดบ่อย ๆ ปกติแล้วจะกำหนดขนาดเป็น 3 โดยไม่ต้องมีตัวปิดเหมือนคำสั่งอื่น ๆ (X แทนตัวเลข)ตัวอักษรแบบพิเศษรูปแบบ< แทนด้วย <> แทนด้วย >& แทนด้วย &" แทนด้วย "เว้นวรรค แทนด้วย &nbspแนะนำก่อนเขียนภาษา HTMLสิ่งที่ต้องเตรียมเมื่อต้องการเขียนโฮมเพจก่อนที่จะลงมือเขียนโปรแกรมภาษา HTML เพื่อสร้างเว็บเพจ หรือ โฮมเพจ ได้นั้น ต้อง เช็ค ความพร้อม ของอุปกรณ์ เครื่องมือ สำหรับการ สร้าง ก่อนว่า มีครบหรือไม่1. เครื่องคอมพิวเตอร์ ขนาดตั้งแต่ 486 หรือ pentium ขึ้นไป2. หน่วยความจำไม่น้อยกว่า 8 MB3. พื้นที่ฮาร์ดดิสต์ขนาดไม่น้อยกว่า 20 MB4. Mouse5. โปรแกรม Internet Explorer Version 3.0 ขึ้นไป6. โปรแกรม Netscape Navigator Version 3.0 ขึ้นไป7. โปรแกรม Notepadโปรแกรมทุกตัวต้องติดตั้งลงในฮาร์ดดิสต์เรียบร้อยและอยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานได้ตลอดเวลา ไฟล์ของโปรแกรม HTML เป็นแท็กซ์ ไฟล์ธรรมดา ที่ใช้ นามสกุลว่า .htm หรือ .html โดย เมื่อเรา เขียน คำสั่งต่าง ๆ ลงใน โปรแกรม Notepad แล้วเรา จะ Save ให้เป็น นามสกุลดังกล่าว ถ้าไม่เช่นนั้น เรา จะไม่สามารถ แสดงผล ได้ ทาง เบราเซอร์ และถ้ามีการแก้ไข หรือ เขียนโปรแกรม เราก็สามารถ ใช้โปรแกรม Notepad นี้เป็นตัวแก้ไขได้เลยโครงสร้างพื้นฐานของ HTMLโครงสร้างของ HTML จะประกอบไปด้วยส่วนของคำสั่ง 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็น ส่วนหัว (Head) และส่วนที่เป็นเนื้อหา (Body) โดยมีรูปแบบคำสั่งดังนี้<html><head><title> ชื่อโปรแกรมหรือข้อมูลที่ต้องการแสดงในส่วนหัว </title></head><body>คำสั่งหรือข้อความที่ต้องการให้แสดง</body></html>การจัดโครงสร้างแฟ้มเอกสารในความง่ายของภาษา HTML นั้นเพราะภาษานี้ไม่มีโครงสร้างใด ๆ มากำหนดนอก จากโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น หรือ แม้แต่จะไม่มีโครงสร้าง พื้นฐานอยู่ โปรแกรมที่เขียนขึ้นมานั้นก็สามารถทำงานได้เสมือนมี โครงสร้างทั่งนี้เป็นเพราะ ว่าตัวโปรแกรม เว็บเบราเซอร์ จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโปรแกรม HTML เป็นส่วนเนื้อหาทั้งสิ้นยกเว้นใน ส่วนหัว ที่ต้อง มีการกำหนด แยกออกไปให้ เห็นชัดเท่านั้น จะเขียน คำสั่ง หรือ ข้อความที่ ต้องการ ให้แสดง อย่างไรก็ได้ เป็นเสมือนพิมพ์งานเอกสารทั่ว ๆ ไปเพียง แต่ ทำตำแหน่ง ใดมีการ ทำตำแหน่ง พิเศษขึ้นมา เว็บเบราเซอร์ถึงจะแสดงผล ออกมาตามที่ ถูกกำหนด โดยใช้คำสั่งให้ตรงกับ รหัสที่กำหนดเท่านั้นการแสดงผลที่เว็บเบราเซอร์หลังจากมีการพิมพ์โปรแกรมนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้บันทึกเป็น ไฟล์ที่มีนามสกุล .htm หรือ .html จากนั้นให้เรียกโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ขึ้นมาทำการทดสอบ ข้อมูลที่เราสร้างจะถูก นำมาที่ออกมาแสดงที่จอภาพ ถ้าไม่เขียนอะไรผิด บนจอภาพก็จะแสดงผลตามนั้น ถ้าเรามีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลในโปรแกรมเดิม ให้อยู่ในรูปของ โปรแกรมใหม่ ก็จำ เป็นต้องโหลดโปรแกรมขึ้นมาใหม่ เพียงแต่เลื่อนเมาส์ไปคลิกที่ปุ่ม Refresh โปรแกรมก็จะทำการ ประมวลผลและแสดงผลออกมาใหม่ ในคำสั่ง HTML ส่วนใหญ่ใช้ตัวเปิด เป็นเครื่องหมาย น้อยกว่า < ตามด้วยคำสั่ง และปิดท้ายด้วยเครื่องหมายมากกว่า > และมีตัวปิดที่มีรูปแบบเหมือนตัวเปิดเสมอ เพียงแต่จะมีเครื่อง หมาย / อยู่หน้าคำสั่งนั้น ๆ เช่น คำสั่ง <body> จะมี </body> เป็นคำสั่งปิด เมื่อใดที่ผู้เขียนลืมหรือพิมพ์คำสั่งผิด จะส่งผลให้การทำงานของโปรแกรมผิดพลาดทันทีคำสั่งเริ่มต้นสำหรับ HTMLคำสั่งหรือ Tag ที่ใช้ในภาษา HTML ประกอบไปด้วยเครื่องหมายน้อยกว่า <ตามด้วย ชื่อคำสั่งและปิดท้ายด้วยเครื่องหมายมากกว่า>เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ตกแต่งข้อความ เพื่อ การแสดงผลข้อมูล โดยทั่วไปคำสั่งของ HTML ส่วนใหญ่จะอยู่เป็นคู่ มีเพียงบาง คำสั่งเท่านั้น ที่มีรูปแบบคำสั่งอยู่เพียงตัวเดียว ในแต่ละคำสั่ง จะมีคำสั่งเปิดและปิด คำสั่งปิดของแต่ละ คำสั่งจะมี รูปแบบเหมือนคำสั่งเปิด เพียงแต่จะเพิ่ม /(Slash) นำหน้าคำสั่ง ปิดให้ดู แตกต่าง เท่านั้น และในคำสั่งเปิดบางคำสั่ง อาจมีส่วนขยายอื่นผสมอยู่ด้วย ในการเขียน ด้วยตัวอักษร เล็กหรือใหญ่ ทั้งหมดหรือเขียนปนกันก็ได้ ไม่มีผลอะไรคำสั่งเริ่มต้นรูปแบบ <html>.....</html>คำสั่ง <html> เป็นคำสั่งเริ่มต้นในการเขียนโปรแกรม และ </html>เป็นคำสั่งจุดสิ้นสุดโปรแกรมเหมือนคำสั่ง Beign และ End ใน Pascalคำสั่งการทำหมายเหตุรูปแบบ <!-- ..... -->ตัวอย่าง <!-- END WEBSTAT CODE -->ข้อความที่อยู่ในคำสั่งจะปรากฎอยู่ในโปรแกรมแต่ไม่ถูกแสดง บนจอภาพส่วนหัวรูปแบบ <head>.....</head>ใช้กำหนดข้อความ ในส่วนที่เป็น ชื่อเรื่อง ภายในคำสั่งนี้ จะมีคำสั่งย่อย อีกหนึ่งคำสั่ง คือ <title>กำหนดข้อความในไตเติลบาร์รูปแบบ <title>.....</title>ตัวอย่าง <title> บทเรียน HTML </title>เป็นส่วนแสดงชื่อของเอกสาร จะปรากฎ ขณะที่ไฟล์ HTML ทำงานอยู่ ข้อความ ที่กำหนด ในส่วนนี้ จะไม่ถูกนำไปแสดง ผลของ เว็บเบราเซอร์แต่จะปรากฎในส่วนของไตเติบาร์ (Title bar) ที่เป็นชื่อของวินโดว์ข้างบนไม่ควรให้ยา เกินไป เพียงให้รู้ว่าเว็บเพจที่กำลัง ใช้งานอยู่เกี่ยวข้องกับอะไรส่วนของเนื้อหารูปแบบ <body>.....</body>ส่วนเนื้อหาของโปรแกรมจะเริ่มต้นด้วย คำสั่ง <body> และจบลงด้วย </body> ภายในคำสั่งนี้ คือ ส่วนที่จะ แสดงทางจอภาพ การเติมสีสันให้เอกสารผลการแสดง ที่เกิดขึ้น บน เว็บเพจ เราจะพบว่าเอกสาร ทั่วไปแล้วตัวอักษร ที่ปรากฎ บนจอภาพ จะเป็น ตัวอักษรสีดำบนพื้น สีเทา ถ้าเรา ต้องการ ที่จะ เปลี่ยนสี ของตัวอักษร หรือ สีของ จอภาพ เราสามารถ ทำ ได้โดย การกำหนด แอตทริบิวต์ (Attribute) ของตัวอักษร สิ่งที่ต้องการนี้ จะเป็น กลุ่มตัว เลขฐาน 16 จำนวน 3 ชุด โดยชุดที่ หนึ่ง ทำหน้าที่ แทนค่าสีแดง ชุดที่สอง ทำหน้าที่ แทนสีเขียว และชุดที่สาม ทำหน้าที่แทนสี น้ำเงิน ข้อมูล ในตาราง ต่อไปนี้จะแสดง สีพื้นฐาน และรหัสสี ที่สามารถแสดงได้ทุกเว็บเพจสีรหัสสีขาว#FFFFFFดำ#000000เทา#BBBBBBแดง#FF0000เขียว#00FF00น้ำเงิน#0000FFในบางครั้งถ้าเราไม่ต้องการใส่รหัสสีเป็นเลขฐานเราก็สามารถใส่ชื่อ สีลงไปได้เลย ตัวอย่างต่อไปนี้ แสดงชื่อ สีที่ Internet Explorer สนับสนุนแต่ Netscape ไม่สนับสนุนAQUABULEGRAYLIMENAVYPURPLESILVERWHITE (สีขาว)BLACKFUCHSIAGREENMAROONOLTVEREDTEALYELLOWสีของพื้นฉากหลังรูปแบบ BGCOLOR=#สีที่ต้องการตัวอย่าง <body bg style="color:#FF0000;">เราใช้ BGCOLOR=#สีที่ต้องการ ให้เป็นส่วนหนึ่งของ <body> ซึ่งจะทำให้เกิดสีตามที่เราเลือก ลักษณะเป็นฉากสีอยู่ข้างหลังสีของตัวอักษรบนเว็บรูปแบบ Text=#รหัสสีตัวอย่าง <body text="#00FF00">เรากำหนดเช่นเดียวกับการทำสีของพื้นฉากหลังโดยให้เป็นส่วน หนึ่งของ <body> แต่ในการใส่รหัสสีนั้นเร าต้องดู ให้เหมาะสมกับฉากหลังด้วยเช่น <body text="#00FF00"> ในการ ทำสีของ ตัวอักษรนี้สีจะปรากฎบนเว็บเปราเซอร์ เป็นสีเดียวตลอดสีของตัวอักษรเฉพาะที่รูปแบบ <span style="color:#สีที่ต้องการ;">...</span>ตัวอย่าง <span style="color:#FF0000;">สีแดง</span>คำสั่งนี้เราใช้ในการเปลี่ยนสีของตัวอักษรในส่วนที่เราต้องการให้เกิดสีสันแตกต่างไปจากสีตัวอักษร อื่น ๆ เช่น <span style="color:#FF0000;">สีแดง</span>ตัวหนังสือคำว่าสีแดงก็จะเป็นสีแดงตามที่เราต้องการทันทีสีของตัวอักษรที่เป็นจุดคลิกเมาส์รูปแบบ LINK="#รหัสสี" ALINK="#รหัสสี" VLINK"#รหัสสี"ตัวอย่าง <body bgcolor="000000" text="#F0F0F0" link="#FFFF00" align="#0077FF" vlink="#22AA22">กำหนดอยู่ในส่วนของ BODY โดยกำหนดให้LINK = สีของตัวอักษรก่อนมีการคลิกALIGN = สีของตัวอักษรขณะถูกคลิกVLINK = สีของอักษรหลังจากคลิกแล้วรูปแบบ ของตัวอักษรในบทนี้ เราจะมาทราบถึงวิธีการทำแบบตัวอักษรหลาย ๆ แบบ เช่น ตัวหนา ตัวเอน ตัวใหญ่ ตัวเล็ก ซึ่งลักษระต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้เว็บเพจ ของเราสวยงามยิ่งขึ้นหัวเรื่องรูปแบบ <hx>ข้อความ</hx>ตัวอย่าง <h1>หัวข้อใหญ่สุด</h1>ในการกำหนดขนาดให้หัวเรื่องนั้นมีการกำหนด ไว้ 6 ระดับตั้งแต่ 1 - 6 โดย x แทนตัวเลขแต่ละลำดับโดย H1 มีขนาดใหญ่ที่สุด H6 เล็กที่สุดเมื่อต้องการใช้หัวเรื่องที่มีขนาดตัวอักษรเท่าใดเขียนอยู่ระหว่าง <hx>....</hx>ขนาดตัวอักษรรูปแบบ <span style="font-size:x;">ข้อความ</span>ตัวอย่าง <span style="font-size:85%;">Bcoms.net</span>เราสามารถกำหนดขนาดของตัวอักษรให้แตกต่างกันได้ ภายในบรรทัดเดียวกัน โดยเราใช้ <span style="font-size:value;"> มากำหนด โดยที่ value เป็นตัวเลขแสดงขนาด ตัวอักษร 7 ขนาด ตัวเลขยิ่งมาก ยิ่งมีขนาด ใหญ่ ตั้งแต่ -7 ไปจนถึง +7ตัวหนา (Bold)รูปแบบ <b>ข้อความ</b>ตัวอย่าง <b>Bcoms.net</b>จะทำให้ข้อความที่อยู่ใน <b>....</b> มีความหนาเกิดขึ้นตัวเอน (Itatic)รูปแบบ <i>ข้อความ</i>ตัวอย่าง <i>Bcoms.net</i>ทำให้ข้อความที่อยู่ใน<i>....</i> เกิดเป็นตัวเอนขึ้นตัวขีดเส้นใต้ (Underline)รูปแบบ <u>ข้อความ</u>ตัวอย่าง <u>Bcoms.net</u>ทำให้ข้อความที่อยู่ใน <u>.....<u> มีเส้นขีดอยู่ใต้ตัวอักษรเกิดขึ้นตัวอักษรมีขนาดคงที่ (Typewriter text)รูปแบบ <tt>ข้อมความ</tt>ตัวอย่าง <tt>Bcoms.net</tt>ทำให้ ข้อความ ที่อยู่ใน<tt>.....</tt> มีลักษณะเป็น fixed space เกิดขึ้นแบบของตัวอักษรรูปแบบ <span >ข้อความ</span>c <span style="font-family:AngsanaUPC;">Bcoms.net</span>Font name เป็นชื่อของ Font ที่เราต้องการให้เป็น เช่น <span style="font-family:AngsanaUPC;"> Bcoms.net</span> และเราสามารถใส่ชื่อ Font หลาย ๆ ตัวได้เพื่อบางครั้ง Browser ไม่มี Font ตามต้องการโดยให้คั้นด้วยตัว (,)ขนาด Font ทั้งเอกสารรูปแบบ Basefont size="X">ตัวอย่าง <basefont style="font-size:100%;">เป็นการกำหนดขนาดของตัวอักษรในโฮมเพจให้มีขนาด เท่ากันทั้งเอกสาร เพื่อสะดวกเราจะได้ไม่ต้องกำหนดบ่อย ๆ ปกติแล้วจะกำหนดขนาดเป็น 3 โดยไม่ต้องมีตัวปิดเหมือนคำสั่งอื่น ๆ (X แทนตัวเลข)ตัวอักษรแบบพิเศษรูปแบบ< แทนด้วย <> แทนด้วย >& แทนด้วย &" แทนด้วย "เว้นวรรค แทนด้วย &nbspแนะนำก่อนเขียนภาษา HTMLสิ่งที่ต้องเตรียมเมื่อต้องการเขียนโฮมเพจก่อนที่จะลงมือเขียนโปรแกรมภาษา HTML เพื่อสร้างเว็บเพจ หรือ โฮมเพจ ได้นั้น ต้อง เช็ค ความพร้อม ของอุปกรณ์ เครื่องมือ สำหรับการ สร้าง ก่อนว่า มีครบหรือไม่1. เครื่องคอมพิวเตอร์ ขนาดตั้งแต่ 486 หรือ pentium ขึ้นไป2. หน่วยความจำไม่น้อยกว่า 8 MB3. พื้นที่ฮาร์ดดิสต์ขนาดไม่น้อยกว่า 20 MB4. Mouse5. โปรแกรม Internet Explorer Version 3.0 ขึ้นไป6. โปรแกรม Netscape Navigator Version 3.0 ขึ้นไป7. โปรแกรม Notepadโปรแกรมทุกตัวต้องติดตั้งลงในฮาร์ดดิสต์เรียบร้อยและอยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานได้ตลอดเวลา ไฟล์ของโปรแกรม HTML เป็นแท็กซ์ ไฟล์ธรรมดา ที่ใช้ นามสกุลว่า .htm หรือ .html โดย เมื่อเรา เขียน คำสั่งต่าง ๆ ลงใน โปรแกรม Notepad แล้วเรา จะ Save ให้เป็น นามสกุลดังกล่าว ถ้าไม่เช่นนั้น เรา จะไม่สามารถ แสดงผล ได้ ทาง เบราเซอร์ และถ้ามีการแก้ไข หรือ เขียนโปรแกรม เราก็สามารถ ใช้โปรแกรม Notepad นี้เป็นตัวแก้ไขได้เลยโครงสร้างพื้นฐานของ HTMLโครงสร้างของ HTML จะประกอบไปด้วยส่วนของคำสั่ง 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็น ส่วนหัว (Head) และส่วนที่เป็นเนื้อหา (Body) โดยมีรูปแบบคำสั่งดังนี้<html><head><title> ชื่อโปรแกรมหรือข้อมูลที่ต้องการแสดงในส่วนหัว </title></head><body>คำสั่งหรือข้อความที่ต้องการให้แสดง</body></html>การจัดโครงสร้างแฟ้มเอกสารในความง่ายของภาษา HTML นั้นเพราะภาษานี้ไม่มีโครงสร้างใด ๆ มากำหนดนอก จากโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น หรือ แม้แต่จะไม่มีโครงสร้าง พื้นฐานอยู่ โปรแกรมที่เขียนขึ้นมานั้นก็สามารถทำงานได้เสมือนมี โครงสร้างทั่งนี้เป็นเพราะ ว่าตัวโปรแกรม เว็บเบราเซอร์ จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโปรแกรม HTML เป็นส่วนเนื้อหาทั้งสิ้นยกเว้นใน ส่วนหัว ที่ต้อง มีการกำหนด แยกออกไปให้ เห็นชัดเท่านั้น จะเขียน คำสั่ง หรือ ข้อความที่ ต้องการ ให้แสดง อย่างไรก็ได้ เป็นเสมือนพิมพ์งานเอกสารทั่ว ๆ ไปเพียง แต่ ทำตำแหน่ง ใดมีการ ทำตำแหน่ง พิเศษขึ้นมา เว็บเบราเซอร์ถึงจะแสดงผล ออกมาตามที่ ถูกกำหนด โดยใช้คำสั่งให้ตรงกับ รหัสที่กำหนดเท่านั้นการแสดงผลที่เว็บเบราเซอร์หลังจากมีการพิมพ์โปรแกรมนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้บันทึกเป็น ไฟล์ที่มีนามสกุล .htm หรือ .html จากนั้นให้เรียกโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ขึ้นมาทำการทดสอบ ข้อมูลที่เราสร้างจะถูก นำมาที่ออกมาแสดงที่จอภาพ ถ้าไม่เขียนอะไรผิด บนจอภาพก็จะแสดงผลตามนั้น ถ้าเรามีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลในโปรแกรมเดิม ให้อยู่ในรูปของ โปรแกรมใหม่ ก็จำ เป็นต้องโหลดโปรแกรมขึ้นมาใหม่ เพียงแต่เลื่อนเมาส์ไปคลิกที่ปุ่ม Refresh โปรแกรมก็จะทำการ ประมวลผลและแสดงผลออกมาใหม่ ในคำสั่ง HTML ส่วนใหญ่ใช้ตัวเปิด เป็นเครื่องหมาย น้อยกว่า < ตามด้วยคำสั่ง และปิดท้ายด้วยเครื่องหมายมากกว่า > และมีตัวปิดที่มีรูปแบบเหมือนตัวเปิดเสมอ เพียงแต่จะมีเครื่อง หมาย / อยู่หน้าคำสั่งนั้น ๆ เช่น คำสั่ง <body> จะมี </body> เป็นคำสั่งปิด เมื่อใดที่ผู้เขียนลืมหรือพิมพ์คำสั่งผิด จะส่งผลให้การทำงานของโปรแกรมผิดพลาดทันทีคำสั่งเริ่มต้นสำหรับ HTMLคำสั่งหรือ Tag ที่ใช้ในภาษา HTML ประกอบไปด้วยเครื่องหมายน้อยกว่า <ตามด้วย ชื่อคำสั่งและปิดท้ายด้วยเครื่องหมายมากกว่า>เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ตกแต่งข้อความ เพื่อ การแสดงผลข้อมูล โดยทั่วไปคำสั่งของ HTML ส่วนใหญ่จะอยู่เป็นคู่ มีเพียงบาง คำสั่งเท่านั้น ที่มีรูปแบบคำสั่งอยู่เพียงตัวเดียว ในแต่ละคำสั่ง จะมีคำสั่งเปิดและปิด คำสั่งปิดของแต่ละ คำสั่งจะมี รูปแบบเหมือนคำสั่งเปิด เพียงแต่จะเพิ่ม /(Slash) นำหน้าคำสั่ง ปิดให้ดู แตกต่าง เท่านั้น และในคำสั่งเปิดบางคำสั่ง อาจมีส่วนขยายอื่นผสมอยู่ด้วย ในการเขียน ด้วยตัวอักษร เล็กหรือใหญ่ ทั้งหมดหรือเขียนปนกันก็ได้ ไม่มีผลอะไรคำสั่งเริ่มต้นรูปแบบ <html>.....</html>คำสั่ง <html> เป็นคำสั่งเริ่มต้นในการเขียนโปรแกรม และ </html>เป็นคำสั่งจุดสิ้นสุดโปรแกรมเหมือนคำสั่ง Beign และ End ใน Pascalคำสั่งการทำหมายเหตุรูปแบบ <!-- ..... -->ตัวอย่าง <!-- END WEBSTAT CODE -->ข้อความที่อยู่ในคำสั่งจะปรากฎอยู่ในโปรแกรมแต่ไม่ถูกแสดง บนจอภาพส่วนหัวรูปแบบ <head>.....</head>ใช้กำหนดข้อความ ในส่วนที่เป็น ชื่อเรื่อง ภายในคำสั่งนี้ จะมีคำสั่งย่อย อีกหนึ่งคำสั่ง คือ <title>กำหนดข้อความในไตเติลบาร์รูปแบบ <title>.....</title>ตัวอย่าง <title> บทเรียน HTML </title>เป็นส่วนแสดงชื่อของเอกสาร จะปรากฎ ขณะที่ไฟล์ HTML ทำงานอยู่ ข้อความ ที่กำหนด ในส่วนนี้ จะไม่ถูกนำไปแสดง ผลของ เว็บเบราเซอร์แต่จะปรากฎในส่วนของไตเติบาร์ (Title bar) ที่เป็นชื่อของวินโดว์ข้างบนไม่ควรให้ยา เกินไป เพียงให้รู้ว่าเว็บเพจที่กำลัง ใช้งานอยู่เกี่ยวข้องกับอะไรส่วนของเนื้อหารูปแบบ <body>.....</body>ส่วนเนื้อหาของโปรแกรมจะเริ่มต้นด้วย คำสั่ง <body> และจบลงด้วย </body> ภายในคำสั่งนี้ คือ ส่วนที่จะ แสดงทางจอภาพ การเติมสีสันให้เอกสารผลการแสดง ที่เกิดขึ้น บน เว็บเพจ เราจะพบว่าเอกสาร ทั่วไปแล้วตัวอักษร ที่ปรากฎ บนจอภาพ จะเป็น ตัวอักษรสีดำบนพื้น สีเทา ถ้าเรา ต้องการ ที่จะ เปลี่ยนสี ของตัวอักษร หรือ สีของ จอภาพ เราสามารถ ทำ ได้โดย การกำหนด แอตทริบิวต์ (Attribute) ของตัวอักษร สิ่งที่ต้องการนี้ จะเป็น กลุ่มตัว เลขฐาน 16 จำนวน 3 ชุด โดยชุดที่ หนึ่ง ทำหน้าที่ แทนค่าสีแดง ชุดที่สอง ทำหน้าที่ แทนสีเขียว และชุดที่สาม ทำหน้าที่แทนสี น้ำเงิน ข้อมูล ในตาราง ต่อไปนี้จะแสดง สีพื้นฐาน และรหัสสี ที่สามารถแสดงได้ทุกเว็บเพจสีรหัสสีขาว#FFFFFFดำ#000000เทา#BBBBBBแดง#FF0000เขียว#00FF00น้ำเงิน#0000FFในบางครั้งถ้าเราไม่ต้องการใส่รหัสสีเป็นเลขฐานเราก็สามารถใส่ชื่อ สีลงไปได้เลย ตัวอย่างต่อไปนี้ แสดงชื่อ สีที่ Internet Explorer สนับสนุนแต่ Netscape ไม่สนับสนุนAQUABULEGRAYLIMENAVYPURPLESILVERWHITE (สีขาว)BLACKFUCHSIAGREENMAROONOLTVEREDTEALYELLOWสีของพื้นฉากหลังรูปแบบ BGCOLOR=#สีที่ต้องการตัวอย่าง <body bg style="color:#FF0000;">เราใช้ BGCOLOR=#สีที่ต้องการ ให้เป็นส่วนหนึ่งของ <body> ซึ่งจะทำให้เกิดสีตามที่เราเลือก ลักษณะเป็นฉากสีอยู่ข้างหลังสีของตัวอักษรบนเว็บรูปแบบ Text=#รหัสสีตัวอย่าง <body text="#00FF00">เรากำหนดเช่นเดียวกับการทำสีของพื้นฉากหลังโดยให้เป็นส่วน หนึ่งของ <body> แต่ในการใส่รหัสสีนั้นเร าต้องดู ให้เหมาะสมกับฉากหลังด้วยเช่น <body text="#00FF00"> ในการ ทำสีของ ตัวอักษรนี้สีจะปรากฎบนเว็บเปราเซอร์ เป็นสีเดียวตลอดสีของตัวอักษรเฉพาะที่รูปแบบ <span style="color:#สีที่ต้องการ;">...</span>ตัวอย่าง <span style="color:#FF0000;">สีแดง</span>คำสั่งนี้เราใช้ในการเปลี่ยนสีของตัวอักษรในส่วนที่เราต้องการให้เกิดสีสันแตกต่างไปจากสีตัวอักษร อื่น ๆ เช่น <span style="color:#FF0000;">สีแดง</span>ตัวหนังสือคำว่าสีแดงก็จะเป็นสีแดงตามที่เราต้องการทันทีสีของตัวอักษรที่เป็นจุดคลิกเมาส์รูปแบบ LINK="#รหัสสี" ALINK="#รหัสสี" VLINK"#รหัสสี"ตัวอย่าง <body bgcolor="000000" text="#F0F0F0" link="#FFFF00" align="#0077FF" vlink="#22AA22">กำหนดอยู่ในส่วนของ BODY โดยกำหนดให้LINK = สีของตัวอักษรก่อนมีการคลิกALIGN = สีของตัวอักษรขณะถูกคลิกVLINK = สีของอักษรหลังจากคลิกแล้วรูปแบบ ของตัวอักษรในบทนี้ เราจะมาทราบถึงวิธีการทำแบบตัวอักษรหลาย ๆ แบบ เช่น ตัวหนา ตัวเอน ตัวใหญ่ ตัวเล็ก ซึ่งลักษระต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้เว็บเพจ ของเราสวยงามยิ่งขึ้นหัวเรื่องรูปแบบ <hx>ข้อความ</hx>ตัวอย่าง <h1>หัวข้อใหญ่สุด</h1>ในการกำหนดขนาดให้หัวเรื่องนั้นมีการกำหนด ไว้ 6 ระดับตั้งแต่ 1 - 6 โดย x แทนตัวเลขแต่ละลำดับโดย H1 มีขนาดใหญ่ที่สุด H6 เล็กที่สุดเมื่อต้องการใช้หัวเรื่องที่มีขนาดตัวอักษรเท่าใดเขียนอยู่ระหว่าง <hx>....</hx>ขนาดตัวอักษรรูปแบบ <span style="font-size:x;">ข้อความ</span>ตัวอย่าง <span style="font-size:85%;">Bcoms.net</span>เราสามารถกำหนดขนาดของตัวอักษรให้แตกต่างกันได้ ภายในบรรทัดเดียวกัน โดยเราใช้ <span style="font-size:value;"> มากำหนด โดยที่ value เป็นตัวเลขแสดงขนาด ตัวอักษร 7 ขนาด ตัวเลขยิ่งมาก ยิ่งมีขนาด ใหญ่ ตั้งแต่ -7 ไปจนถึง +7ตัวหนา (Bold)รูปแบบ <b>ข้อความ</b>ตัวอย่าง <b>Bcoms.net</b>จะทำให้ข้อความที่อยู่ใน <b>....</b> มีความหนาเกิดขึ้นตัวเอน (Itatic)รูปแบบ <i>ข้อความ</i>ตัวอย่าง <i>Bcoms.net</i>ทำให้ข้อความที่อยู่ใน<i>....</i> เกิดเป็นตัวเอนขึ้นตัวขีดเส้นใต้ (Underline)รูปแบบ <u>ข้อความ</u>ตัวอย่าง <u>Bcoms.net</u>ทำให้ข้อความที่อยู่ใน <u>.....<u> มีเส้นขีดอยู่ใต้ตัวอักษรเกิดขึ้นตัวอักษรมีขนาดคงที่ (Typewriter text)รูปแบบ <tt>ข้อมความ</tt>ตัวอย่าง <tt>Bcoms.net</tt>ทำให้ ข้อความ ที่อยู่ใน<tt>.....</tt> มีลักษณะเป็น fixed space เกิดขึ้นแบบของตัวอักษรรูปแบบ <span >ข้อความ</span>c <span style="font-family:AngsanaUPC;">Bcoms.net</span>Font name เป็นชื่อของ Font ที่เราต้องการให้เป็น เช่น <span style="font-family:AngsanaUPC;"> Bcoms.net</span> และเราสามารถใส่ชื่อ Font หลาย ๆ ตัวได้เพื่อบางครั้ง Browser ไม่มี Font ตามต้องการโดยให้คั้นด้วยตัว (,)ขนาด Font ทั้งเอกสารรูปแบบ Basefont size="X">ตัวอย่าง <basefont style="font-size:100%;">เป็นการกำหนดขนาดของตัวอักษรในโฮมเพจให้มีขนาด เท่ากันทั้งเอกสาร เพื่อสะดวกเราจะได้ไม่ต้องกำหนดบ่อย ๆ ปกติแล้วจะกำหนดขนาดเป็น 3 โดยไม่ต้องมีตัวปิดเหมือนคำสั่งอื่น ๆ (X แทนตัวเลข)ตัวอักษรแบบพิเศษรูปแบบ< แทนด้วย <> แทนด้วย >& แทนด้วย &" แทนด้วย "เว้นวรรค แทนด้วย &nbsp
<br /><span style="font-family:trebuchet ms;"><strong>คำถาม คำตอบ</strong></span>
<br /><strong><span style="font-family:Trebuchet MS;">1.</span><span >รหัสสี แดง มีรหัสอะไรบ้าง</span></strong>
<br /><strong>ก.#FF0000</strong>
<br /><strong>ข.#FF0002</strong>
<br /><strong>ค.#FF0003</strong>
<br /><strong>ง.#FF0004</strong>
<br />เฉลย ก.#FF0000
<br /><strong>2. ตัวเอน เราใช้ตัวไหนแทนตัวเอน</strong>
<br />ก. I
<br />ข. J
<br />ค. L
<br />ง. ตัวไหนก็ได้
<br />เฉลย ก. I
<br />3. ตัวแบบตัวเอนของ ภาษา Html แบบใมด
<br />ก. รูปแบบ <i>ข้อความ</e>
<br />ข.รูปแบบ <l>ข้อความ</l>
<br />ค.รูปแบบ <j>ข้อความ</j>
<br />ง.รูปแบบ <i>ข้อความ</i>
<br />เฉลย ง.รูปแบบ <i>ข้อความ</i>
<br />4. คำสั่งเริ่มต้น ของภาษา HTML แบบใด
<br />ก. </html>.....</html>
<br />ข.</html>.....<html>
<br />ค.<html>.....</html>
<br />ง.<html>.....<html>
<br />เฉลย ค.<html>.....</html>
<br />5.ส่วนของเนื้อหา ของภาษา HTML แบบใด
<br />ก. </body>.....<body>
<br />ข.<body>.....<body>
<br />ค.</body>.....</body>
<br />ง.<body>.....</body>
<br />เฉลย ง.<body>.....</body>
<br />6. รหัสสีเขียว รหัสใด
<br />ก. #00FF0002
<br />ข.#00FF00
<br />ค.#00FF00001
<br />ง.#00FF00009
<br />เฉลย ข.#00FF00
<br />7. สีของตัวอักษรบนเว็บ แบบใด
<br />ก. <body text="#00FF000006">
<br />ข.<body text="#00FF000002">
<br />ค.<body text="#00FF00001">
<br />ง.<body text="#00FF00">
<br />เฉลย ง.<body text="#00FF00">
<br />8. สีของตัวอักษรเฉพาะที่ ใช้แบบใด
<br />ก.<span style="color:#สีที่ต้องการ;">...</span>
<br />ข.<span style="color:สีที่ต้องการ;">...</span>
<br />ค.<span>...</span>
<br />ง.< color="#สีที่ต้องการ">...</span>
<br />เฉลย ก.<span style="color:#สีที่ต้องการ;">...</span>
<br />9. อะไรเป็นการช่วย ภาษาHTML
<br />ก. EditPlus
<br />ข. Edit
<br />ค.Plus
<br />ง.อะไรก็ได้
<br />เฉลย ก. EditPlus
<br />10. (Body) เป็นส่วนอะไรใน Html
<br />ก. ส่วนหัว
<br />ข.ส่วนท้าย
<br />ค.ส่วนกลาง
<br />ง.ส่วนเนื้อหา
<br />เฉลย ง.ส่วนเนื้อหา
<br />11. ในภาษา HTML คำสั่งใดต้องเขียนเป็นคำสั่งในบรรทัดแรก
<br />ก.<head>
<br />ข.<html>
<br />ค.<title>
<br />ง.<body>
<br />เฉลย ข.<html>
<br />12.ในภาษา HTML คำสั่งใดต้องเขียนเป็นคำสั่งในบรรทัดสุดท้าย
<br />ก.<head>
<br />ข.</body>
<br />ค.</title>
<br />ง.</html>
<br />เฉลย ง.</html>
<br />13. ในการบันทึกข้อมูลเพื่อให้แสดงเป็นหน้าเว็บเพจ จะต้องบันทึกเป็นนามสกุลใด
<br />ก.doc
<br />ข.txt
<br />ค.xls
<br />ง.html
<br />เฉลย ง.html
<br />14. HTML ย่อมาจากอะไร
<br />ก.Homepage Text Markup Language
<br />ข.Hypertext Manual Language
<br />ค.Home Text Markup Language
<br />ง.Hyper Text Markup Language
<br />เฉลย ก.Homepage Text Markup Language
<br />15.ข้อใดไม่ใช่คำสั่งหลักของโครงสร้างภาษา HTML
<br />ก.<html>
<br />ข.<body>
<br />ค.<title>
<br />ง.<end>
<br />เฉลย ง.<end>
<br />
<br /><strong></strong>
<br />วิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3149623957169751654.post-38346534331728679802008-06-10T02:39:00.000-07:002008-12-09T20:22:08.391-08:00แนะนำตัวเอง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhh4DJmca3bHAIlouy7zFjIwlx96m1l0PwZUWWJKx08z58djIxc5qlrbftMwPmwzf_FnWZIjEjp5V2J4na4GVcu4F8S9wHJNFKs7OXZnTUhkBk9ZHsiufVPnb_jdkh6gqyhfQGSDRP-rb4/s1600-h/Ao.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5210186096620761890" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhh4DJmca3bHAIlouy7zFjIwlx96m1l0PwZUWWJKx08z58djIxc5qlrbftMwPmwzf_FnWZIjEjp5V2J4na4GVcu4F8S9wHJNFKs7OXZnTUhkBk9ZHsiufVPnb_jdkh6gqyhfQGSDRP-rb4/s320/Ao.jpg" border="0" /></a><br /><div></div><br /><div></div><br /><div><br /><br />ครูเรียก วิมลรัตน์ หวังสุข (มาค่ะ)<br />เพื่อนเรียก โอ๋จัง<br />แม่เจ็บ 1 ตุลาคม 2532<br />โปรแกรมวิชาเอก คอมพิวเตอร์ศึกษา<br />ความเตี้ย 163 เซนติเมตร<br />ความเบา 50 กิโลกรัม<br />ซังกะเต 29 หมู่ 6 ต.ยางสว่าง อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ 32130<br />โทสับ ศูนย์ แปด ห้า ศูนย์ ศูนย์ เจ็ด สอง หก ศูนย์ สอง<br />สีโปรด แดง ดำ ขาว<br />อาหารที่ชอบ อะไรก็ได้ กินแล้วอิ่ม<br />สุดเซ็ง การรอคอย<br />ปัจจุบัน นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ<br />ลึกๆในใจ อดีตคือสิ่งที่ลืมยาก </div>วิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3149623957169751654.post-69294523308081169832008-06-10T02:25:00.000-07:002008-06-10T02:39:30.930-07:00ตั้งคำถามปรนัย 5 ข้อ1. IC มีตัวเต็มว่าอย่างไร<br />ก. integrated circuits<br />ข.Transmission Rate<br />ค. Digital Equipment Corportion<br />ง.Automatic Teller Machine<br />เฉลยก. integrated circuits<br />2. ในศตวรรษที่ 17 ใครเป็นคนคิดเครื่องคำนวนเป็นคนแรกมีกี่คน<br />ก.Joseph Marie Jacquard สามารถคูณหารการบวกและการลบ<br />ข.นักคณิตศาสตร์ชาวเยอร์มันคือ Gottried Wilhelm von Leibniz ได้สร้างเครื่องคิดเลขเครื่องแรกที่สามารถคูณและหาร<br />ค. นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศษ คือ Blaise Pascal โดยเครื่องของเขาสามารถคำนวณการบวกการลบได้อย่างเที่ยงตรง<br />ง. นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศษ คือ Blaise Pascal โดยเครื่องของเขาสามารถคำนวณการบวกการลบได้อย่างเที่ยงตรง และในศตวรรษเดียวกันนักคณิตศาสตร์ชาวเยอร์มันคือ Gottried Wilhelm von Leibniz ได้สร้างเครื่องคิดเลขเครื่องแรกที่สามารถคูณและหาร<br />เฉลยง.นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศษ คือ Blaise Pascal โดยเครื่องของเขาสามารถคำนวณการบวกการลบได้อย่างเที่ยงตรง และในศตวรรษเดียวกันนักคณิตศาสตร์ชาวเยอร์มันคือ Gottried Wilhelm von Leibniz ได้สร้างเครื่องคิดเลขเครื่องแรกที่สามารถคูณและหาร<br />3.Hardware มีความหมายว่าอย่างไร<br />ก.ตัวเครื่อง และอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมด ฮาร์ดิสHD-เครื่องพิมพ์ (Printer) -มอนิเตอร์(Monitor) แป้นพิมพ์(keyboard) CPU<br />ข.ตัวเครื่อง และอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมด ฮาร์ดิสHD-เครื่องพิมพ์ (Printer)<br />ค. ตัวเครื่อง และอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมด ฮาร์ดิสHD-มอนิเตอร์(Monitor)<br />ง. ตัวเครื่อง และอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมด ฮาร์ดิสHD-เครื่องพิมพ์ (Printer)<br />เฉลยก.ตัวเครื่อง และอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมด ฮาร์ดิสHD-เครื่องพิมพ์ (Printer) -มอนิเตอร์(Monitor) แป้นพิมพ์(keyboard) CPU<br />4.คอมพิวเตอร์คืออะไร<br />ก.ในการใช้งานจริงนั้น จะสามารถใช้งานช่องทางต่าง<br />ข.ตัวเครื่อง และอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมด ฮาร์ดิสHD-เครื่องพิมพ์ (Printer) -มอนิเตอร์(Monitor) แป้นพิมพ์(keyboard) CPU<br />ค. อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electrinic device) ที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ<br />ง. แนวความคิดของระบบตัวเลข ซึ่งได้พัฒนาเป็นวิธีการคำนวณต่าง ๆ รวมทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยในการคำนวณอย่างง่าย ๆ<br />เฉลยค. อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electrinic device) ที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ<br />5.ยุคของคอมพิวเตอร์มีทั้งหมดกี่ยุค<br />ก.4 ยุค<br />ข.5 ยุค<br />ค. 6 ยุค<br />ง. 7 ยุค<br />เฉลยข.5 ยุควิมลรัตน์http://www.blogger.com/profile/01360224519052453552noreply@blogger.com0